บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (AYCAL) ที่ระดับ “A+" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 7,300 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+" โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ดังกล่าวใช้แทนอันดับเครดิตที่ทริสเรทติ้งจัดไว้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 สำหรับหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทซึ่งมีกำหนดไถ่ถอนในปี 2557 เนื่องจากบริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส ตัดสินใจเพิ่มวงเงินหุ้นกู้อีกจำนวน 2,300 ล้านบาท
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable" หรือ “คงที่" อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการเพิ่มสถานะจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเองเนื่องจากฐานะการเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งช่วยให้ธนาคารบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารพาณิชย์แบบครบวงจร ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอยู่บนพื้นฐานฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และผลงานที่ได้รับการยอมรับ รวมถึงระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วและรถจักรยานยนต์ ตลอดจนภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยน้อยลงซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางธุรกิจ ผลประกอบการ และคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าทิศทางธุรกิจของบริษัทจะยังคงมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาและบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารต่อไป แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารของบริษัทในการรักษาฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เอาไว้ได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าด้วยการมีผู้บริหารที่มากประสบการณ์ ระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและปรับปรุงฐานะทางการเงินให้ดีขึ้นในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 บริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีสกลายมาเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของธนาคาร หลังจากที่ GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ได้ซื้อหุ้น 32.93% ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทมียอดลูกหนี้คงค้างทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วน 17% ของยอดสินเชื่อตามงบการเงินรวมของธนาคาร ณ เดือนมิถุนายน 2552 ในขณะที่มีรายได้สุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 2552 ในสัดส่วน 38% ของรายได้สุทธิตามงบการเงินรวมของธนาคารในช่วงเดียวกัน ทั้งนี้ การสนับสนุนทางธุรกิจและการเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดว่าจะช่วยยกระดับฐานะทางการตลาดในธุรกิจหลักและเสริมระดับความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท บริษัทเป็นหนึ่งในบรรดาบริษัทลูกที่จะได้รับการสนันสนุนทางการเงินในลำดับต้นๆ จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นบริษัทแม่ ดังเห็นได้จากเงินให้กู้ยืมที่บริษัทได้รับจากธนาคารในสัดส่วนถึง 74% ของเงินที่ธนาคารให้กู้ยืมรวมแก่บริษัทลูกในเครือ ณ เดือนมิถุนายน 2552 (เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 26% ณ เดือนมิถุนายน 2551)
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส สามารถดำรงสถานะผู้นำในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แม้ธุรกิจดังกล่าวจะชะลอตัวตามการถดถอยของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศก็ตาม บริษัทมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาผู้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ทั้ง 20 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง โดยมียอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อรวม 91,570 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 13% ณ เดือนมิถุนายน 2552 และยังเป็นผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์อันดับ 2 ที่มียอดคงค้างสินเชื่อ 3,352 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2552 ด้วยประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจถึง 16 ปี บริษัทสามารถพัฒนาคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขัน การปรับโครงสร้างธุรกิจของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในปี 2551 ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทลูกเพียงแห่งเดียวที่ให้บริการธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารทั้งสำหรับรถยนต์ใหม่ รถยนต์ใช้แล้ว และรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันภายใต้ตราสัญลักษณ์ “Car4Cash" ด้วย
บริษัทยังได้นำรูปแบบการบริหารความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติของธนาคารกรุงศรีอยุธยามาประยุกต์ใช้ซึ่งทำให้บริษัทและธนาคารได้รับการกำกับดูแลภายใต้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกันที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่ดีและระบบการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพช่วยทำให้บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีแม้จะมีพอร์ตสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงก็ตาม ณ เดือนมิถุนายน 2552 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งหมายถึงสินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไปยังคงมีสัดส่วนไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับ 2.0% ของสินเชื่อรวมของบริษัทในปี 2551 และนับว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในธุรกิจเดียวกัน
บริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในปี 2551 จำนวน 5,731 ล้านบาท ต่ำกว่า 6,076 ล้านบาทที่รายงานในปี 2550 ในขณะที่ความ สามารถในการทำกำไรลดลงเล็กน้อยในปี 2551 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยลดลงเป็น 1.74% และ 15.33% ตามลำดับในปี 2551 จากระดับ 2.27% และ 22.03% ในปี 2550 อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเป็น 10.90% ณ สิ้นปี 2551 จาก 11.95% ในปี 2550 จากผลของการควบรวมสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทลูกในเครือของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ฐานะทุนของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ประกอบการเช่าซื้อรายอื่นในตลาดที่มีพอร์ตสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีระดับฐานทุนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่รายได้จากการดำเนินงานในอนาคตเติบโตยิ่งขึ้น