(เพิ่มเติม) TISCOคาดปี 52 สินเชื่อรวมโต 15%,ปี 53ตั้งเป้ากว่า 10% ลีสซิ่งแข่งเดือด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 15, 2009 17:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล กรรมการอำนวยการ บมจ.ทิสโก้ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป(TISCO) คาดว่า สิ้นปี 52 สินเชื่อของกลุ่มทิสโก้จะขยายตัวในระดับ 15% มีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นเสินเชื่อหลัก โดยไตรมาส 3/52 สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13%

ทั้งนี้ TISCO คาดว่าประชาชนจะหันมาซื้อรถยนต์ในช่วงสิ้นปีซึ่งเป็นฤดูกาลปกติที่จะมีงานมอร์เตอร์โชว์เพื่อกระตุ้นยอดขายรถยนต์ หลังจากช่วงครึ่งปีแรกยอดขายรถยนต์ลดลง แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อจะเป็นสินเชื่อรถยนต์ใหม่ 80% และรถมือสอง 20%

ขณะที่ในปี 53 มองว่าภาพรวมการปล่อยสินเชื่อจะเติบโตได้มากกว่า 10% ซึ่งปีหน้าจะมีคู่แข่งในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อในตลาดมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องเร่งวางกลยุทธ์เพื่อรักษาตลาด

นางอรนุช กล่าวว่า ธนาคารทิสโก้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก(สปรด)ในช่วงไตรมาส 3/52 เฉลี่ยอยู่ที่ 5.2% ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 5 ปี และสูงกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ ขณะที่มองว่าจนถึงสิ้นปีนี้สเปรดจะแคบลงมาอยู่ที่ 4.8% และปี 53 จะเหลือที่ 4.3-4.5% ขณะที่ส่วนต่างรายได้รับสุทธิ(NIM) สิ้นปี 52 จะอยู่ที่ 4.6-4.7% และแคบลงในปี 53 มาอยู่ที่ 4.2-4.4%

พร้อมมองแนวโน้มดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 53 อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่าดอกเบี้ยจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นช่วงครึ่งหลังของปีหน้าไม่เกิน 1%

สำหรับยอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของกลุ่มทิสโก้ ในไตรมาส 3/52 อยู่ที่ 2.6% และจนถึงสิ้นปี 52 คาดว่าจะทรงตัวในระดับเดียวกัน ทั้งนี้ทางกลุ่มไม่ได้กังวลเกี่ยวกับ NPL มากนัก แต่จะพิจารณาถึงปรับตอบแทนที่ได้รับมากกว่า ซึ่งหาก NPL จะสูงขึ้น แต่มีส่วนทำให้สเปรดสูงขึ้นตามก็น่าพอใจ เพราะทางกลุ่มจะเน้นเรื่องการบริหารความเสี่ยงมากกว่ายอด NPL โดยจะพิจารณาจากโอกาสของการเกิด NPL เพื่อควบคุมคุณภาพสินเชื่อ

กรรมการผู้อำนวยการ TISCO กล่าวอีกว่า ในปี 53 มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ในอัตรา 3-4.5% ตามการคาดการณ์ของหลายสำนัก แต่ยังมีความอ่อนไหวและเปราะบางอยู่มาก ดังนั้นแม้เศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่หากประเทศใดมีความเสี่ยงเฉพาะจะทำให้นักลงทุนถอนการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนเพื่อลดความเสี่ยงและหันไปลงทุนในประเทศที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า

"เศรษฐกิจยังอ่อนไหวมาก และมีตลาดให้เลือกลงทุนมาก ดังนั้นหากที่นี่มีข่าวไม่ดี นักลงทุนซึ่งลงทุนและมีกำไรอยู่แล้วจะเลือกถอนการลงทุนไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยง หันไปเลือกลงทุนในตลาดอื่น"กรรมการผู้อำนวยการ TISCO กล่าว

นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม TISCO กล่าวว่า ขณะนี้ ธนาคารทิสโก้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อพอร์ตสินเชื่อขนาดเล็กเพิ่มเติม จากปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อประมาณ 90,000 ล้านบาท ถือเป็นอันดับ 2 ในตลาด อย่างไรก็ตาม มองว่านอกจากการซื้อพอร์ตสินเชื่อมาบริหารแล้ว ธนาคารต้องให้ความสำคัญกับการขยายพอร์ตสินเชื่อเองด้วย

นอกจากนี้ ธนาคารยังไม่มีแผนจะหาพันธมิตรร่วมทุน เนื่องจากปัจจุบันมีระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ถึง 15% ซึ่งมากเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ แต่ในแง่ของพันธมิตรทางธุรกิจ ได้มีการขยายความร่วมมือเพื่อเพิ่มเครือข่ายการทำธุรกิจมากขึ้น โดยพิจารณาจากการที่ 2 ฝ่ายจะต้องได้รับประโยชน์ร่วมกัน ส่วนการหาพันธมิตรด้านเทคนิคต่างๆ ก็ยังไม่มีความจำเป็น เพราะปัจจุบัน ธนาคารจะเน้นเรื่องการบริหารความเสี่ยง ซึ่งกลุ่ม TISCO มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว

"ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องหา Partner ทางธุรกิจ แต่ถ้ามีอะไรที่พร้อมจะทำเพื่อลูกค้า เราก็ทำ เรื่อง FX หรือ Trade Finance เราทำไม่เป็น ก็ยังไม่ทำ ตอนนี้เราก็มีธุรกรรมการเงินมากอยู่แล้ว"นายปลิว กล่าว

นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการอำนวยการ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนเงินฝากรายย่อยประเภทออมทรัพย์และเผื่อเรียกเพิ่มขึ้นจาก 11% เมื่อปี 51 เพิ่มเป็น 24% และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 30% ในปี 53 เป็นการขยายฐานลูกค้ารายย่อยอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสัดส่วนเงินฝากให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรม ซึ่งการเปิดสาขาของธนาคารส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการให้บริการลูกค้ารายย่อย

ทั้งนี้ แนวโน้มดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ที่จะปรับขึ้นในปี 53 ไม่ได้เกิดจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 1.5 ล้านล้านบาท แต่เป็นไปตามทิศทางของเงินเฟ้อที่จะปรับสูงขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยคาดว่าดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับขึ้นก่อน หลังจากนั้นดอกเบี้ยเงินกู้จะปรับขึ้นตาม

"หากเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.5% ดอกเบี้ยเงินกู้ก็น่าจะขึ้นเป็น 2% เพื่อไม่ให้ผู้ฝากเงินต้องขาดทุนจากเงินฝาก ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้จะขึ้นตาม จะมากน้อยขึ้นอยู่กับการแข่งขัน ซึ่งโดยทั่วไปหากสภาพคล่องตึง ดอกเบี้ยเงินกู้จะขึ้นก่อน แต่หากสภาพคล่องหย่อน ดอกเบี้ยเงินฝากจะขึ้นก่อน"นายสุทัศน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ