ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) หลังจากที่หลายบริษัทเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะ เจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงควบคุมการใช้จ่ายหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลบ 67.03 จุด หรือ 0.7% ปิดที่ 9,995.91 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลบ 8.88 จุด หรือ 0.8% ปิดที่ 1,087.68 จุด และดัชนี Nasdaq ลบ 16.49 จุด หรือ 0.8% ปิดที่ 2,156.80 จุด
ผลประกอบการของจีอีส่งสัญญาณให้เห็นถึงความอ่อนแอในธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากกำไรของบริษัทร่วงลงถึง 44% เพราะ จีอี แคปิตอล บริษัทปล่อยสินเชื่อในเครือ ทำรายได้ได้น้อยลงมาก
ขณะเดียวกัน แบงค์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป และ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ก็ขาดทุนมากเกินคาดในไตรมาส 3 จากธุรกิจการปล่อยสินเชื่อเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูง การใช้จ่ายผู้บริโภคที่ซบเซา และราคาบ้านที่ลดลง
ทิม เคนปป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน กล่าวว่า ผลประกอบการของจีอีและแบงค์ ออฟ อเมริกา ย้ำให้นักลงทุนตระหนักว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างยากลำบาก
การที่ผู้บริโภคมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาว่างงานและเศรษฐกิจทำให้ผู้บริโภคยิ่งควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ลดลงแตะ 69.4 จุดในเดือนตุลาคม จาก 73.5 จุดในเดือนกันยายน
แม้ผลประกอบการอันย่ำแย่ของหลายบริษัทจะทำลายความหวังของนักลงทุนที่แต่เดิมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 แต่อย่างน้อยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ช่วยดึงตลาดขึ้นจากระดับต่ำสุดระหว่างวัน โดยราคาน้ำมันดิบบวก 95 เซนต์ แตะที่ 78.53 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่บวกถึง 9% ระหว่างสัปดาห์เนื่องจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทนับร้อยแห่ง ตั้งแต่โคคา-โคลา ไปจนถึง ไมโครซอฟท์ นอกจากนั้นยังมีการเปิดเผยตัวเลขสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง ตัวเลขเงินเฟ้อ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคในสายตาของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ด้วย