BAT-3K โอดมาร์จิ้นหดเหตุปรับราคาไม่ได้ ยังคาดรายได้ทรงตัวแต่พลิกมีกำไร

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 19, 2009 10:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่(BAT-3K)คาดผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับไปมีกำไรใกล้เคียงกับปี 50 ที่มีกำไรราว 300 ล้านบาท หลังจากปี 51 ขาดทุนไปถึง 471 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีกำไรแล้วประมาณ 200 ล้านบาท แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการปรับราคาขายในประเทศไม่ทันกับต้นทุน แต่ยังโชคดีที่มีกำไรจากยอดขายต่างประเทศมาชดเชย ขณะที่รายได้ในปีนี้พยายามประคองให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 4 พันล้านบาทภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีปัญหา

นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ BAT-3K กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้บริษัทไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายแบตเตอรี่ในประเทศได้ ทั้งที่ราคาตะกั่วที่เป็นวัตุดิบหลักปรับเพิ่มขึ้นมากมาอยู่ที่ 2.2-2.3 พันบาท/ลูก เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.5-1.6 พันบาท/ลูก เนื่องจากคำร้องขอของบริษัทยังไม่ได้รับอนุมัติจากภาครัฐให้ปรับขึ้นราคา

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถนำมาร์จิ้นจากการขายสินค้าในต่างประเทศมาทดแทนมาร์จิ้นในประเทศที่ลดลงได้บ้าง เนื่องจากสามารถปรับราคาขายสินค้าในต่างประเทศได้เฉลี่ยประมาณ 5-15% ประกอบกับ หากในต่างประเทศมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นก็จะสามารถชดเชยได้มากขึ้นอีก

"เราคงทำอะไรไม่ได้ คงต้อรอการตัดสินใจจากกรมการค้าภายในว่าจะให้ปรับขึ้นราคาขายแบตเตอรี่หรือไม่ ซึ่งเราก็ได้ยื่นเรื่องไปแล้ว อยากให้เห็นว่าราคาตะกั่วปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และก็คงไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าผลกระทบต่อมาร์จิ้นในประเทศแน่นอน แต่ก็ได้คิดแผนรองรับได้ด้วยการพยายามบริหารด้วยการเอาส่วนต่างที่ต่างประเทศมาชดเชยและก็คงประคองมาร์จิ้นโดยรวมได้ไม่ให้แพ้ปีที่ผ่านมา"นายวีรวัฒน์ กล่าว

นายวีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า แม้การขายในต่างประเทศจะมีมาร์จิ้นที่มากกว่าการขายในประเทศ แต่บริษัทก็จะบาลานซ์สัดส่วนยอดขายแบตเตอรี่ในประเทศและต่างประเทศไว้ที่ 50:50 ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ จากที่ผ่านมาสัดส่วนเปลี่ยนแปลงไปบ้างเป็นในประเทศ 60% ต่างประเทศ 40% โดยบริษัทมองว่าตลาดในประเทศช่วยลดความเสี่ยงด้านยอดขาย ขณะที่ยอดขายต่างประเทศช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน

ปัจจุบัน ปริมาณการขายแบตเตอรี่ในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ย-ต.ค.52 เริ่มเห็นสัญญาณการ กลับมาสู่สภาวะปกติ โดยมียอดขายต่อเดือน 150-160 ล้านบาท/เดือน จากก่อนหน้านี้มียอดขายอยู่ที่ 100 ล้านบาท ถึงแม้จะยังไม่ฟื้นตัวกลับไปที่เคยขายได้ 200 ล้านบาท/เดือนในปี 50 แต่ก็เชื่อว่าจะกลับไปได้ไม่ยาก เพราะสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจไม่ได้เลวร้าย ความเชื่อมั่นก็เริ่มกลับมา

ทั้งนี้ เห็นได้จากการที่มียอดขายแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 100-200 AMP.เข้ามามากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของรถบิ๊กอัพที่ใช้แบตเตอรี่ขนาด 75-90 AMP ซึ่งเป็นรถใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ขายได้เพิ่มขึ้นด้วย จากก่อนหน้าที่ปรับลดลง

นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงทำให้บริษัทจะต้องวางแผนในการขยายธุรกิจ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาทั้งการแตกไลน์ผลิตแบตเตอรี่ประเภทอื่นๆ มากขึ้น นอกเหนือจากแบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จจากการที่ได้มีการออกแบตเตอรี่รถกอลฟ์ ซึ่งให้มาร์จิ้นสูง อีกทั้งแบตเตอรี่ทั่วไปยังมีการแข่งขันที่สูง

จากแผนการแตกไลน์แบตเตอรี่เพิ่มนั้น บริษัทก็ได้มีการศึกษาว่าอาจจะมีการลงทุนในด้านเครื่องจักรเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันก็มีที่ดินในโรงงานเหลือในการพัฒนาได้ แต่ทั้งนี้คงจะต้องศึกษาให้รอบคอบและมองเห็นการการกลับมาจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่แท้จริง เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความเสี่ยง

ส่วนในเรื่องพันธมิตรทั้งในจีนและออสเตรเลียที่จะให้เป็นตัวแทนในการขายนั้นคงจะต้องพิจารณาศักยภาพไปต่อเนื่องก่อน และดูว่ายอดขายที่แต่ละรายคาดการณ์จะออกมาเป็นอย่างไรก่อนที่จะสรุป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ