ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/52 ธนาคารมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 2,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อน
ธนาคารและบริษัทในเครือมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี) รวม 5,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% และ 15% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/51 และไตรมาส 2/52 ตามลำดับ
สาเหตุหลักที่ทำให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานไตรมาส 3/52 ที่ดีขึ้นถึง 114% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 135% โดยค่าธรรมเนียมจากบริการเพิ่มขึ้น 15% และในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น 2% ถึงแม้ว่ายอดสินเชื่อรวมจะทรงตัวอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพียง 7% ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับปรุงดีขึ้นมาก จากระดับ 61% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52%
สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.52 ธนาคารมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 4,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 55% รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น 2% ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพียง 7%
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BAY กล่าวว่า สำหรับแผนการรวมธุรกิจการเงินเพื่อรายย่อยของบริษัท จีอี มันนี่ ประเทศไทยเข้ามา ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 4/52 จะช่วยเสริมฐานะการเป็นผู้นำในธุรกิจการเงินเพื่อรายย่อยของธนาคารให้เด่นชัดยิ่งขึ้น และจะทำให้ธนาคารมีฐานที่แข็งแกร่งรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในปีต่อๆ ไป
ณ วันที่ 30 ก.ย.52 ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 750,601 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อ 557,553 ล้านบาทและเงินฝาก 513,344 ล้านบาท ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 15.6% เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) 12.7%