นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเลือกที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยเบื้องต้นบริษัทมีความต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใน 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 55 ถึงแม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถระดมทุนในตลาดใหญ่ เนื่องจากทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น แต่จะทยอยเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำมาใช้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศเพื่อสร้างมูลค่าสินค้า รวมทั้งใช้ขยายสาขาร้าน"เถ้าแก่น้อยแลนด์"
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า สำหรับรายได้ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 51 ที่มีรายได้ 1,030 ล้านบาท และจะมีรายได้ 2 พันล้านบาท ในปี 53
ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin:NP) และ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin:GP) ในปี 52 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มี NP 10% และ GP ที่ 30% และจะต่อเนื่องไปในปี 53 เนื่องจากการขยายตลาดในต่างประเทศมากขึ้น เพราะมาร์จิ้นในต่างประเทศจะสูงกว่าในประเทศ 1 เท่า โดยมองประเทศที่จะขยายตลาดคือ จีน ไต้หวัน ที่ปัจจุบันมีคำสั่งอยู่แต่ปริมาณน้อย
ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้มาจากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30%
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังผลิตเป็น 1.5 ล้านแผ่น/วันในปี 54 จาก 1 ล้านแผ่น/วันในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมสร้างโรงงานในปีหน้า โดยเม็ดเงินประมาณ 80-90 ล้านบาท มาจากกระแสเงินสด
"เชื่อว่าอนาคตการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดี สาหร่ายขายไม่ค่อยได้ แต่ยังดีที่ซัพพลายเออร์ขายราคาถูกลง 3-4% จากราคาเฉลี่ย 1 พันบาท/กก. ซึ่งการที่เราเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยให้เราแข็งแกร่ง รวมถึงมีการพัฒนา แตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ เช่น ปลาเส้น สินค้าพรีเมี่ยมที่มีสัญญลักษณ์ตุ๊กตาเถ้าแก่น้อย
ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 70-80% ของมูลค่าตลาดรวมสาหร่าย 1.5-2 พันล้านบาท แต่ถ้าในตลาดขนมขบเคี้ยวทุกประเภทที่มูลค่าตลาดรวม 2 หมื่นล้านบาท เถ้าแก่น้อยมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 8%
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงบริษัทยังให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์ โดยได้เตรียมเงินในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในปี 52 ไว้ 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่ใช้งบในส่วนนี้ประมาณ 30 ล้านบาท และในปี 53 คาดว่าจะใช้งบโฆษณาใกล้เคียงกับปีนี้