นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดขายกองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน(K China Equity Fund:K-CHINA)เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนในตราสารทุนให้กับลูกค้า โดยจะเสนอขายครั้งแรกในวันที่ 27 ต.ค.-2 พ.ย. 52 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท
กองทุนดังกล่าวมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละไม่เกิน 4 ครั้ง สภาพคล่องสูง ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการของ บลจ. กสิกรไทย และกองทุนหลักในต่างประเทศ ทั้งยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย
กองทุนเปิด K-CHINA จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Fidelity Funds-China Focus Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในประเทศจีนโดยเฉพาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกถ้านับรวมกองทุนที่ตั้งขึ้นหลังจากปี 33 และนับตั้งแต่ต้นปี 52 ถึง 30 ก.ย.52 กองทุนนี้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ถือหน่วยโดยมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 16,500 ล้านบาท และบริหารจัดการโดย Fidelity International Limited (FIL) ซึ่งมีความสามารถในการเลือกลงทุนในหุ้นได้อย่างเหมาะสม มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยเชื่อมั่นในความสามารถในการเลือกหุ้นที่ถูกต้องซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ โดยเฉพาะในตลาดที่ยังอยู่ในช่วงเติบโตสูงเช่นปัจจุบัน
ที่ผ่านมาในช่วง 5 ปี ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนมากถึงประมาณ 23% ต่อปี ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี และตลาดทุนโลกที่ประมาณ 1.5% ต่อปี
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจจีน นายพัชร กล่าวว่า โอกาสที่จะเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ (asset bubble) ในประเทศจีนนั้นค่อนข้างจะต่ำ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ทยอยลดระดับสภาพคล่องในระบบลงเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไป นอกจากนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังแสดงให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนจากการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศตะวันตก มาเป็นการเติบโตด้วยความต้องการบริโภคภายในประเทศ โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม
นอกจากนี้ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ภาคธุรกิจโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างได้เติบโตอย่างเห็นได้ชัด และเข้ามาแทนที่การเติบโตผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
นายพัชร กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นจีนจะได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปี แต่โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มก็ยังมีอยู่ อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนได้มีการปรับตัวลงมาบ้างแล้ว จากจุดสูงสุดในปี 50 ประมาณ 40% และยังเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเลือกเข้ามาลงทุนในช่วงวันที่ตลาดมีการปรับตัวลดลง