HEMRAJ คาดปี 53 รายได้โตกว่า 20% จากทรุดตัวเล็กน้อยในปีนี้ตามเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 29, 2009 10:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเดวิด นาร์โดน ประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) คาดว่า ในปี 53 รายได้บริษัทจะเติบโตมากกว่า 20% จากปีนี้ โดยการเติบโตจะมาจาก 3 ธุรกิจ ได้แก่ การขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม, การให้บริการสาธารณูปโภค และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการให้เช่าโรงงานและขายโครงการคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะยอดขายจากที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นรายได้หลักราว 40-50% นอกนั้นมีสัดส่วนอย่างละ 20%

ในปี 53 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมไว้ราว 500-1,000 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะขายได้ 300-500 ไร่ ซึ่งน่าจะทำให้รายได้ในส่วนนี้เติบโต 20-50% แต่ก็ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจด้วย โดยกว่าครึ่งจะมาจากการขยายธุรกิจของลูกค้าเดิม ส่วนอีก 2 ธุรกิจคาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 20%

ขณะที่รายได้และกำไรปี 52 คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 4.7 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาทจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

"ยอมรับว่ากำไรและรายได้ปีนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าปลายปีนี้จะ pick up ...ปีหน้าตั้งเป้าขายที่ดินเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากฐานลูกค้าเดิมที่ขยายงาน หลังเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น และลูกค้าอาจขยายไลน์ หรือขยายไปธุรกิจโลจิสติกส์และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งก็ยังมองว่าไทยเป็นฐานการผลิตที่ดีในการส่งออก"นายนาร์โดน กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ศาลปกครองกลางสั่งระงับ 76 โครงการในมาบตาพุด นายเดวิด กล่าวว่า เรื่องนี้ก็อาจเป็นประเด็นที่นักลงทุนจะเข้าลงทุนต้องพิจารณาอย่างมาก ฉะนั้น รัฐบาลควรจะดำเนินการออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด

"ตอนนี้เรื่องมาบตาพุดยังไม่รู้อะไร อยากให้รัฐบาลเคลียร์เรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ในส่วนบริษัทเรายังยึดรักษาฐานลูกค้าเดิม"นายนาร์โดน กล่าว

นายนาร์โดน กล่าวว่า ในปีหน้ายังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ ๆ แต่จะเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีนี้ ได้แก่ โครงการพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดจำนวน 1,000 ไร่ มีมูลค่าการก่อสร้าง 1 พันล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า

และโครงการโรงไฟฟ้า IPP ที่ร่วมทุนกับ บมจ.โกลว์พลังงาน(GLOW)ขนาด 660 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทลงทุน 4.5 พันล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 4 หมื่นล้านบาท โดยปีหน้าจะจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ โครงการนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างใช้เวลาประมาณ 2 ปี จึงจะแล้วเสร็จ

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองหาโอกาสขยายบริการบำบัดน้ำเสียทั้งในประเทศ รวมถีงต่างประเทศในแถบอาเซียน ซึ่งมองลูกค้าไว้ 2 กลุ่ม คือ โครงการคอนโดมิเนียม หรือ นิคมอุตสาหกรรมระดับไฮเอนด์ นอกจากนี้ กำลังหาโอกาสลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ หลังจากบริษัทประสบความสำเร็จในโครงการที่ชิดลมมาแล้ว

เขายังมองว่าโอกาสนักธุริจไทยยังมีอยู่มาก เรื่องตลาดในไทย และตลาดอาเซียน ที่มีการเปิดการค้าเสรี ซึ่งไทยมีจุดแข็งในธุรกิจอาหาร



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ