บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI)ชี้แจงผลดำเนินงานไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.52 บริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน จำนวน 9,178.6 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายในไตรมาสเดียวกันของปี 51 ซึ่งมีจำนวน 6,704.1 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 142% แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง 43% ก็ตาม
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็ก 67.8 ล้านบาท เปรียบเทียบกับยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปี 51 ซึ่งมีจำนวน 169.8 ล้านบาท บริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการจำนวน 47.5 ล้านบาทต่ำกว่ารายได้ในไตรมาสเดียวกันของปี 51 ซึ่งมีจำนวน 84.8 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 922.4 ล้านบาท เปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ 362.3 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 51 เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นจำนวน 34.4 ล้านบาท (ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 26.3 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2551 ซึ่งมีรายได้อื่นจำนวน 10.2 ล้านบาท
บริษัทโอนกลับค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือสุทธิจำนวน 658.5 ล้านบาท (ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป 60.6 ล้านบาท และ 593.7 ล้านบาท ตามลำดับ) เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 51 มีค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือสุทธิ 1,356.8 ล้านบาท(ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป จำนวน 288.1 ล้านบาท และ 1,069.5 ล้านบาท ตามลำดับ) ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,580.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 51 ซึ่งมีขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการหลังหักค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือจำนวน 994.5 ล้านบาท
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และค่าตอบแทนผู้บริหารของบริษัทและบริษัทย่อย 150.8 ล้านบาท เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในไตรมาสเดียวกันของปี 51 จำนวน 228.5 ล้านบาท(ซึ่งรวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 19.9 ล้านบาท) เป็นผลมาจากการขายสินค้าส่วนใหญ่ที่เป็นการขายด้วยเงื่อนไขไม่รวมการจัดส่งสินค้า ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายในไตรมาส 3/52 ลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/51 บริษัทโอนกลับขาดทุนจากการด้อยค่าของที่ดินจำนวน 0.3 ล้านบาท เนื่องจากสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สาขาบางสะพานได้มีหนังสือแจ้งมายังบริษัทได้พิจารณาแล้วว่าสำนักงานที่ดินฯไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการเพิกถอนสิทธิในการครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)ของบริษัทฯจำนวน 1 แปลง
บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 1,464.4 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้นิติบุคคลในไตรมาสเดียวกันของปี 51 ซึ่งมีจำนวน 1,212.5 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายทางการเงินมีจำนวน 201.3 ล้านบาท (ซึ่งประกอบด้วยดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 194.4 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 6.9 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายทางการเงินในไตรมาสเดียวกันของปี 51 จำนวน 153.3 ล้านบาท (ซึ่งประกอบด้วยดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 145.2 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 8.1 ล้านบาท) เป็นผลมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 51 และเงินกู้ยืมระยะยาวเพื่อการลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกัน
บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 62.9 ล้านบาทในไตรมาส 3/52 ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อยมีจำนวน 2.8 ล้านบาท เปรียบเทียบกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อยในไตรมาสเดียวกันของปี 51 จำนวน 3.2 ล้านบาท
บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ (ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 10.6 ล้านบาท) จำนวน 1,323.3 ล้านบาท เปรียบเทียบ กับขาดทุนสุทธิ (ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 6.4 ล้านบาท) ในไตรมาสเดียวกันของปี 51 จำนวน 1,369.0 ล้านบาท