ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 200 จุดเมื่อคืนนี้ (29 ต.ค.) และทำสถิติพุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 3 เดือนเนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคักหลังจากสหรัฐเปิดเผยว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 ขยายตัวรวดเร็วเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 199.89 จุด หรือ 2.05% ปิดที่ 9,962.58 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 23.48 จุด หรือ 2.25% ปิดที่ 1,066.11 จุด และ ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 37.94 จุด หรือ 1.84% ปิดที่ 2,097.55 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.46 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 5 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.34 พันล้านหุ้น
ดี ไพรด์ นักวิเคราะห์จากบริษัท ฮาเวอร์ฟอร์ด อินเวสท์เมนท์ ในฟิลาเดลเฟียกล่าวกับเอพีว่า นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคักหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 3.5%ต่อปีในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการขยายตัวไตรมาสแรกหลังจากหดตัวมากว่า 1 ปี และขยายตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 3.2%ต่อปี
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า ตัวเลขชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้วร่วงลง 1,000 ราย แตะระดับ 530,000 ราย แม้ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 521,000 ราย
รัฐบาลสหรัฐมุ่งเน้นเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งตั้งเป้าว่าจะหนุนอุตสาหกรรมทั้งสองภาคส่วนให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยืนจนถึงปีหน้าและทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ยอดขาดดุลงบประมาณที่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์อาจจำกัดความสามารถของประธานาธิบดีบารัค โอบามาในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง
นอกจากนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนประจำเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 1.0% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ นับเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 15 เดือน ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ไม่นับรวมอุปกรณ์ด้านการขนส่งเพิ่มขึ้น 0.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.7%
หุ้นโมโตโรล่าปิดบวก 78 เซนต์ แตะที่ 8.74 ดอลลาร์ หลังจากโมโตโรล่า อิงค์ ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือของสหรัฐ รายงานกำไรไตรมาส 3 ที่ระดับ 12 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 เซนต์ต่อหุ้น เทียบกับในปีก่อนที่ขาดทุน 397 ล้านดอลลาร์ หรือ 18 เซนต์ต่อหุ้น
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจในคืนวันศุกร์ของสหรัฐ โดยสหรัฐจะรายงานรายได้ส่วนบุคคลเดือนก.ย.และดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.