นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC)เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคงจะชะลอแผนการออกหุ้นกู้วงเงิน 1-1.5 พันล้านบาทออกไปก่อนจากแผนเดิมที่คาดว่าจะออกในช่วงปลายปี 52
การปรับแผนดังกล่าวเกิดจากการประเมินในช่วงไตรมาส 3/52 เนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่งผลให้สถาบันทางการเงินกล้าปล่อยวงเงินกู้มากขึ้น โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารพาณิชย์เพื่อขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อเป็น 3 พันล้านบาท จากปัจจุบันมีวงเงินที่กู้ประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งยังเบิกจ่ายไม่ครบทั้งวงเงิน
"ตอนนั้นที่เราจะออกหุ้นกู้เพราะเอาเป็นตัวเลือกเผื่อไว้ เพราะบริษัทไม่รู้ว่าความเข้มงวดของแบงก์มากแค่ไหนจาก ปัญหาการเมืองเศรษฐกิจที่ชะลอ ก็จะได้มีเงินไว้รองรับอุ่นใจไว้ก่อน แต่พอ 6-7 เดือนผ่านไปเราเข้มแข็งขึ้น แบงก์ก็กลับมากล้า ปล่อยวงเงิน คุยกันและ review แล้วก็เห็นว่าโครงการไปได้อีกอย่างตอนนี้คนออกกันเยอะ ต้นทุนตอนนี้ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ระหว่างกู้แบงก์กับหุ้นกู้ ในปีหน้าค่อยมาพิจารณาอีกครั้ง"นายอรรถพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังมีความจำเป็นในการใช้เงินไม่มากนัก เพราะปัจจุบันบริษัทมีที่ดินในมือเพียงพอที่จะพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าประมาณ 8-10 โครงการ รวมทั้งมีเงินทุนหมุนเวียน และเงินกู้ก็รองรับการพัฒนาโครงการได้ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมองหาที่ดินเพื่อทยอยซื้อเก็บไว้เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องในอนาคต
นายอรรถพล กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว บริษัทได้มีการสำรวจตลาดต่างจังหวัดโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต หัวหิน และเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต
แต่บริษัทก็ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการในกรุงเทพเป็นหลัก โดยในไตรมาส 4/52 การเปิดตัวโครงการใหม่ยังเป็นไปตามแผนจำนวน 3 โครงการ มูลค่า 2 พันล้านบาท ประกอบด้วย บางกอก บูเลอวาร์ด เกษตร-นวมินทร์,โฮมออฟฟิศ รัชดา-รามอินทรา , ไลฟ์บางกอก-รัชวิภา จากแผนงานทั้งปีที่เปิดตัว 9 โครงการ รวมมูลค่า 6 พันล้านบาท
นายอรรถพล คาดว่า ยอดขายของบริษัทในปีนี้มีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 10% หรือประมาณ 4.2 พันล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้ก็จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากการกลับมาของผู้บริโภคที่ทยอยดีขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงเดือน พ.ค.และต่อเนื่องถึงปัจจุบันส่งผลให้ยอดขาย 9 เดือนปีนี้มียอดขายแล้วกว่า 3 พันล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้(backlog)กว่า 2 พันล้านบาท โดยกำหนดทยอยรับรู้รายได้ในสัดส่วน 20% ภายในปีนี้ และที่เหลืออีก 80% จะเป็นการทยอยรับรู้ฯ ในปี 53