(เพิ่มเติม) BBL คาดสินเชื่อปี 52 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3-5%,ปีหน้าขยายตัวตามภาวะศก.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 30, 2009 15:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ (BBL) คาดว่า การปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปีนี้จะติดลบ จากเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 3-5% ขณะที่ยอดสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าจะคุมได้ไม่เกิน 5%

ส่วนปี 53 คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ตามภาวะเศรษฐกิจ

นายโฆสิต กล่าวยอมรับว่า ในปี 52 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายังติดลบ 5-6% ขณะที่ช่วงเดือนที่เหลือ ธนาคารคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งหวังว่าจะทำให้การปล่อยสินเชื่อทั้งปี 52 อยู่ในระดับเดียวกับปี 51 หรือเสมอตัว แต่ยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปี 52 คาดว่าจะติดลบ 3% ดังนั้นการปล่อยสินเชื่อคงไม่ขยายตัว และมีแนวโน้มที่จะติดลบได้ ขณะที่ปี 53 ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้ 3% ซึ่งจะทำให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารกลับมาขยายตัวได้

"ยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อปีนี้คงจะติดลบ แม้เราจะหวังให้เสมอตัวก็ตาม เพราะเศรษฐกิจปีนี้เราเคยคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าจะติดลบ 3% การปล่อยสินเชื่อก็ต้องไปตามภาวะเศรษฐกิจ แต่แม้สินเชื่อจะติดลบ แต่ไม่มีปัญหาสินเชื่อที่ต้องกังวล ดังนั้นจึงเชื่อว่าปีนี้น่าจะคุมเอ็นพีแอลไม่เกิน 5%ได้" นายโฆสิต กล่าว

ทั้งนี้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาคการลงทุนที่ไม่ขยายตัวทำให้ลูกค้าที่มีการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารไปแล้ว ไม่มีการเบิกใช้เงินสินเชื่อ และยังมีบางส่วนที่ขอคืนวงเงิน เป็นสินเชื่อทั้งภาคการส่งออกและสินเชื่อเพื่อการค้า

ประธานกรรมการบริหาร BBL กล่าวอีกว่า ในเดือน ธ.ค.นี้ ธนาคารเตรียมเปิดธนาคารท้องถิ่นที่ประเทศจีน หลังได้รับการอนุมัติจากทางการจีนแล้ว ชื่อ BANGKOK BANK CHINA COMPANY LIMITED ทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท โดย BBL ถือหุ้น 100% โดยจะให้สาขาของ BBL ที่อยู่ในจีน 4 แห่ง คือที่ เซียะเหมิน เซี่ยงไฮ้ เสิ่นเจิ้น ปักกิ่ง เป็นสาขาของธนาคารท้องถิ่นที่จีน โดยมีสำนักงานใหญที่เซี่ยงไฮ้ และวางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอีกภายใน 3 ปี

โดยแนวคิดที่ ธนาคาร ได้ตั้งธนาคารท้องถิ่นในจีน จะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการทางการเงินเป็นเงินสกุลหยวนได้ และมองว่า จีนขณะนี้กำลังมีบทบาทสำคัญต่อโลก เห็นได้จากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่จีน ไม่ได้รับผลกระทบ โดยเศรษฐกิจยังขยายตัวเป็นบวกในอัตราที่สูง และมาจากการบริโภค การลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก

และการตั้งธนาคารในจีน จะเป็นการขยายโอกาสขยายธุรกิจของธนาคาร และเป็นการรองรับการขยายการลงทุนในจีนของนักธุรกิจไทย ซึ่งการลงทุนในจีนต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และธนาคารพร้อมให้คำแนะนำ ขณะเดียวกันเห็นว่าจีนเป็นตลาดที่ใหญ่และกำลังกลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าสำคัญของโลก นักธุรกิจไทย ควรปรับบทบาทจากการเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ หันมาเป็น Supply chain กับจีนจะเป็นผลดีมากกว่า

นายโฆสิต ยังกล่าวถึงกรณีศาลปกครองระงับ 76 โครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาทางกฎหมาย แต่เป็นปัญหาของการลดมลพิษ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้น จะทำให้ทุกฝ่ายหันมาหาวิธีการลดมลพิษ และกระบวนการลดมลพิษได้ จะต้องมีการลงทุนโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ซึ่งกรณีของ 76 โครงการของตั้งชี้ให้ศาลเห็นได้ว่า มีการลงทุนที่สามารลดมลพิษได้อย่างไร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ