นายสมชัย เลขะพจน์พานิช ประธานกรรมการ บมจ.แปซิฟิกไพพ์(PAP) เปิดเผยว่า บริษัทยังไม่ได้มีการเจรจาเป็นพันธมิตรกับใครแบบจริงจัง แต่ยังเปิดกว้างรับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นหากมีนโยบายหรือวิสัยทัศน์ที่ตรงกันเพราะน่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
"พันธมิตรต้องเข้ามาช่วยทำงาน ช่วยลงทุน ช่วยขยายตลาด ช่วยเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มีเงินติดมาด้วยก็ดี มีใครสนใจเราก็จะคุยด้วยทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่มีการเริ่มต้นเจรจาอะไรกับใคร เพราะเรายังไม่มีความจำเป็นแต่ถ้ามีพันธมิตรมันก็โตเร็วขึ้น"นายสมชัย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ส่วนที่ราคาหุ้นพุ่งแรงจากกระแสข่าวเรื่องพันธมิตรนั้น นายสมชัย กล่าวว่า"ผมว่ามันยังไม่มีอะไร ลงข่าวเกินเลยไปหรือเปล่า ช่วงนี้ในวงการเหล็กก็มีข่าวกันมาตลอด เพราะเป็นธุรกิจที่อ่อนไหว ถ้าไปรวมอะไรกับใครได้ก็ช่วย Synergy เยอะ แต่ข้อเสียก็มี ถ้ารวมแล้วไม่ดี....จะรวมแบบ Flagship Company หรือ เป็น Pilot Company คือ รวมกันแล้วจะเป็นธุรกิจนำร่องแล้วให้ลูกๆเป็นตัวทำงาน หรือ รวมกันแล้วเอาบริษัทแม่เป็นเรือธง"
นายสมชัย กล่าวยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเร่งรีบหาพันธมิตรเข้ามาในตอนนี้ เพราะสภาพคล่องฐานะการเงินของบริษัทจัดอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีขาดทุนสะสม อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำมากเพียง 0.5 เท่า เงินสดก็ไม่มีปัญหายังไปได้เรื่อยๆ
ราคาหุ้น PAP ล่าสุดเมื่อ 15.01 น. ปรับขึ้น 5.06% มาที่ 1.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท
เมื่อ 30 ต.ค.52 ราคาหุ้น PAP ปิดที่ 1.58 บาท ลดลง 0.10 บาท(-5.95%)
เมื่อ 29 ต.ค.52 ราคาหุ้น PAP ปิดที่ 1.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.07 บาท(+4.35%)
เมื่อ 28 ต.ค.52 ราคาหุ้น PAP ปิดที่ 1.61 บาท ลดลง 0.17 บาท(-9.55%)
เมื่อ 27 ต.ค.52 ราคาหุ้น PAP ปิดที่ 1.78 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท(+7.23%)
เมื่อ 26 ต.ค.52 ราคาหุ้น PAP ปิดที่ 1.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.38 บาท(+29.69%)
*ตั้งเป้าปี 53 กำไรฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงปี 51, ปี 52 ยังจ่ายปันผลได้
นายสมชัย กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในปี 53 จะพยายามทำรายได้ให้ได้ 4 พันล้านบาท เติบโตประมาณ 15% จากปี 52 ที่คาดว่าจะทำรายได้ 3.5 พันล้านบาท
รายได้ของ PAP มาจากตลาดในประเทศเกือบ 99% ขณะที่รายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 1% ลดลงอย่างมากจาก 15-20% ในปี 51 เป็นผลมาจากตลาดโลกหดตัว หลายประเทศชะลอการนำเข้า โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาต่างมีปัญหากันหมด ขณะเดียวกันในประเทศก็มีปัญหาการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการส่งออก แต่ยังหวังว่าปี 53 ตลาดส่งออกน่าจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว
ขณะที่กำไรสุทธิในปี 53 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นกลับไปใกล้เคียงกับปี 51 ที่มีกำไร 123.70 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ราคาเหล็กก็กำลังจะฟื้นตัวตามมา คาดว่าราคาขายเฉลี่ยในปี 53 จะอยู่ที่ 25-30 บาท/กก.จาก 25 บาท/กก.ในปี 52 แม้ว่าจะลดลงจาก 40 บาท/กก.ในปี 51 หลังจากต้องเผชิญภาวะกดดันจากปัจจัยแวดล้อมรอบด้าน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลงานปีนี้อาจจะออกมาไม่ดีนัก แต่บริษัทก็ยังจะจ่ายเงินปันผลในงวดปีนี้ ซึ่งจะจ่ายเพียงครั้งเดียวในงวดปลายปีแบะงวดจ่ายปันผลระหว่างกาล จากเดิมในปี 51 เคยจ่ายปันผล 2 ครั้ง ส่วนอัตราการจ่ายเงินปันผลในปีนี้คงยังต้องรอดูผลงานทั้งปี อย่างไรก็ตาม บริษัทคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ และหลังหักสำรองตามกฎหมาย
อนึ่ง บมจ.แปซิฟิกไพพ์(PAP)เป็นผู้ผลิตท่อเหล็ก เหล็กรูปตัวซี ท่อชุบ ท่อกลมดำ เหล็กรูปพรรณ ท่อเหล็กอาบสังกะสี สามารถแบ่งตามลักษณะการใช้งานเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ท่อเหล็กสำหรับงานทั่วไป และท่อเหล็กสำหรับงานโครงสร้าง