บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT)หรือ ทอท.เดินหน้าลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาทขยายพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก การดำเนินการจะมขึ้นในช่วง6 ปีนี้(ปี 53-58)เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้โดยสาร หลังธุรกิจการบินทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก พร้อมกับเตรียมเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาพัฒนาพื้นที่แปลง 37 ภายในสุวรรณภูมิช่วงต้นปี 53 คาดมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า เร็วๆนี้ ฝ่ายบริหารเตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัท อนุมัติงบลงทุนกว่า 7 หมื่นล้านบาทในโครงการเพิ่มขีคความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อไปสู่เป้าหมายการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านคน/ปีในปี 59-60 จากปัจจุบัน 45 ล้านคน/ปี
โครงการลงทุนดังกล่าว ได้แก่ การสร้างอาคารเทียบเครื่องบิน ซึ่งจะรองรับเครื่องบินลงจอดพร้อมกัน 28 ลำ, รันเวย์ที่ 3 , อุโมงค์เชื่อมต่อผู้โดยสารระหว่างอาคารหลักและอาคารรอง เป็นต้น โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 54 และใช้เวลาก่อสร้างราว 4 ปี
ขณะเดียวกันบริษัทก็กำลังเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานภูเก็ต โดยได้รับการอนุมัติงบลงทุนจากคณะกรรมการแล้ว 4,790 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ พร้อมกับปรับปรุงอาคารปัจจุบันเพื่อใช้เป็นอาคารผู้โดยสารในประเทศ รวมทั้งลงทุนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในสนามบิน ซึ่งเมื่อดำเนินการเสร็จแล้วในปี 56 ท่าอากาศยานภูเก็ตจะสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มเกือบเท่าตัวเป็น 12.5 ล้านคน/ปี จากปัจจุบันรองรับได้ 6.5 ล้านคน/ปี
รวมทั้งได้อนุมัติวงเงิน 9 พันล้านบาทสำหรับลงทุนสร้างอาคารผู้โดยสารในประเทศที่จะรองรับผู้โดยสารได้ 20 ล้านคน/ปี โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 53 และคาดเสร็จในปี 57-58
นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 53 จนถึงปี 57-58 บริษัทต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนครึ่งหนึ่งหรือ 4 หมื่นล้านบาทจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนหรือกระแสเงินสด ซึ่งขณะนี้บริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ 2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก 2 หมื่นล้านบาทที่มาจากกำไรการดำเนินงาน
ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้น บริษัทจะศึกษาแนวทางการระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การกู้ในประเทศ การกู้ต่างประเทศ การออกหุ้นกู้ หรือ การเพิ่มทุน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีจึงจะได้ข้อสรุป
"แหล่งทุน ครึ่งหนึ่งมาจากเงินสดของบริษัท และที่เหลือเราก็มาศึกษาว่าจะใช้วิธีไหนที่ save ที่สุด คิดว่าใช้เวลา 1 ปีจะศึกษาเสร็จ เราไม่จำเป็นต้องรีบกว่าจะใช้เงินมากๆก็ตอนปี 57-58" นายเสรีรัตน์ กล่าว
*เปิดให้เอกชนประมูลพัฒนาพื้นที่ในสุวรรณภูมิต้นปีหน้า
นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการร่างข้อกำหนดและรายละเอียดขอบเขตและข้อกำหนด(TOR)เพื่อจ้างที่ปรึกษาโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนพัฒนาที่ดินแปลง 37 ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 โดยคาดว่าโครงการลงทุนจะมีมูลค่าเกิน 1 พันล้านบาท
บริษัทมีแผนพัฒนาที่ดินแปลง 37 ได้แก่ โรงพยาบาล โรงแรม ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิง ศูนย์แสดงสินค้าส่งออก และสนามกอล์ฟ
นอกจากนี้ ทอท.ยังมีแผนจะพัฒนาบริเวณพื้นที่ทางด้านเหนือของสนามบินสุวรรณภูมิ ให้เป็นศูนย์การขนส่ง ศูนย์บริการรถครบวงจร ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพ และ ร้านค้าต่างๆ
"ตอนนี้อยู่ระหว่างทำ TOR น่าจะเริ่มขายซองได้ปลายปีนี้ หรือไม่ก็ต้นปีหน้า...เราจะเปิดให้เอกชนมาลงทุน แล้วเราก็ได้ประโยชน์ในรูปค่าเช่าที่ดิน และส่วนแบ่งรายได้จากผลประกอบการของเอกชน"นายเสรีรัตน์ กล่าว
ส่วนการพัฒนาสนามบินดอนเมือง บริษัทก็ยังคงเดินตามแผนเดิม ขณะเดียวกันก็รอความชัดเจนจากรัฐบาล โดยจะรอผลการศึกษาของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการภายใน 90 วัน
นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่ไม่ใช่จากธุรกิจการบิน (Non-Aero)เป็น 50% จาก 40% ในปัจจุบัน
"รายได้จากธุรกิจการบินเติบโตไม่มาก สนามบินทั่วโลกส่วนใหญ่ก็มีรายได้ Non-Aero มากกว่าการบินทั้งนั้น ซึ่งเราก็จะพยายามปรับสัดส่วนให้เป็น 50/50 ภายใน 5 ปีนับจากวันนี้" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าว
AOT บริหารท่าอากาศยาน 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, เชียงราย , หาดใหญ่ และ ภูเก็ต
*ผลประกอบการงวดปี 53 สวยกว่างวดปี 52 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า ในงวดปี 52(ต.ค.51-ก.ย.52)ปริมาณเที่ยวบินทั้งหมด(รวมหมด 6 สนามบิน)จำนวน 3.46 แสนเที่ยว ลดลง 12% จากงวดปี 51 และจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดมีจำนวน 50 ล้านคน ลดลง 14% จากปีก่อน และการขนส่งสินค้า(cargo)มีจำนวน 1.4 หมื่นตัน ลดลง 23%
สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งรายได้หลักให้กับบริษัทในงวดปี 52 มีจำนวนเที่ยวบิน 2.42 แสนเที่ยวบิน ลดลง 5.5% จากปีก่อน, จำนวนผู้โดยสารมี 37 ล้านคน ลดลง 10% และปริมาณการขนส่งสินค้า(cargo)มีจำนวน 9.7 แสนตัน ลดลง 22%
ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว , เหตุการณ์ชุมนุมปิดสนามบินช่วงปลายปี 51 รวมทั้งเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศช่วง เม.ย.52 และการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณจราจรทางอากาศ
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.ย.52 เริ่มเห็นตัวเลขผู้โดยสารพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบปี ทำให้มองว่าผลประกอบการในงวดปี 53(ต.ค.52-ก.ย.53)น่าจะกลับฟื้นตัวตาภาวะเศรษฐกิจโลก พร้อมคาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ เติบโต 10% ส่วนจำนวนผู้โดยสารในประเทศเติบโตต่อเนื่องอยู่แล้ว
"คาดว่ารายได้และกำไรในปี 53 จะดีกว่าปีก่อน ถ้าปัจจัย 3 อย่างไม่มีอะไรเลวร้ายทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศนิ่ง การระบาดหวัดใหญ่ไม่รุนแรง"นายเสรีรัตน์ กล่าว
อนึ่ง ทอท.รายงานปริมาณผู้โดยสารรวมในเดือน ก.ย.52 มีจำนวน 4.11 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18.11% จาก ก.ย.51 ที่มีจำนวน 3.48 ล้านคน
นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ ม.ค. 53 บริษัทจะปรับรูปแบบการให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมสนามบิน(Landing and Parking)จากที่เคยลดอัตราส่วนคงที่ 30% มาเป็นการให้ส่วนลดตามจำนวนผู้โดยสารที่แต่ละสายการบินบรรทุกเข้ามา หากมีจำนวนมากขึ้นก็ได้ส่วนลดมาก ขณะที่ค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน(PSC)ยังคงจัดเก็บรายละ 700 บาทสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
"ธุรกิจการบินดีขึ้น แต่ก็ยังไม่กลับมาเท่าเดิม ภาวะอย่างนี้เราก็ยังให้ความช่วยเหลืออยู่ แต่เราปรับรูปแบบการลดค่าธรรมเนียม ถ้าสายการบินไหนส่งผู้โดยสารในปี 53 สูงกว่าปี 52 ก็จะได้ส่วนลด"นายเสรีรัตน์ กล่าว