บมจ. แอล.พี .เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/52 ว่า รายได้รวมของบริษัท บริษัทย่อยและบริษัทร่วมเท่ากับ 2,136.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/51 ซึ่งมีจำนวน 2,118.95 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 0.82% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอยู่ที่ 33.54% ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ที่ 30% โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 18.68% เพิ่มขึ้น 1.45% จาก 17.23% ในไตรมาส 3/51
แต่หากพิจารณายอดเงินกำไรสุทธิ จะเห็นว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/52 ซึ่งมี 399.10 ล้านบาท สูงกว่า 364.99 ล้านบาท ในไตรมาส 3/51 อยู่ 9.35% เกิดจากการที่บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากโครงการที่ก่อสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/52 คือ โครงการลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 26 และมีการบริหารจัดการทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/51 ราว 99.66%
อีกทั้งบริษัทย่อยมีรายได้ค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ กำไรขั้นต้นของรายได้ค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/51 ที่ 13.33%
งบกระแสเงินสด ณ 30 ก.ย.52 และ 51 มีเงินสดลดลง 364.09 ล้านบาท หรือลดลง 39.34% มาจากการคืนเงินกู้โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 52 จำนวน 4 โครงการ,มีการจ่ายเงินปันผลในปี 52 จำนวน 630.06 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าการจ่ายเงินปันผลปี 51 ราว 18.60% และบริษัทได้มีการสำรองเงินสดไว้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ระยะสั้นเพื่อค้า และตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 821.09 ล้านบาท
สำหรับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 0.97 : 1 เหลือ 0.53 : 1 ส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 0.58 : 1 เหลือ 0.24 : 1 ตามลำดับในปี 51 และปี 52
ทั้งนี้ เมื่อรวมเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 561.51 ล้านบาทกับเงินลงทุนข้างต้น บริษัทจะมีสภาพคล่องรวม 1,382.60 ล้านบาท ซึ่งมีมากกว่าหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจำนวน 183.37 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/52 บริษัทมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเท่ากับ 1,199.23 ล้านบาท ทำให้เป็น 3 ไตรมาสติดต่อกัน ที่บริษัทมีสภาพคล่องมากกว่าหนี้สินที่มีดอกเบี้ย
สำหรับ 3 เดือนที่เหลือของปี 52 บริษัทคาดว่าจะมีการรับรู้รายได้อีกประมาณ 1,740 ล้านบาท จาก 2 โครงการหลัก ได้แก่ ลุมพินี พระราม 8 และลุมพินี เพลส รามอินทรา-หลักสี่
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวว่า ในไตรมาส 4 นี้ บริษัทเตรียมแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการย่านปิ่นเกล้า และลาดพร้าว-โชคชัย 4 จำนวนกว่า 3,000 ยูนิต มูลค่า 4,900 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งจากฐานลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ โดยวัดจากกระแสตอบรับของจำนวน waiting list ที่ลงทะเบียนสนใจจองล่วงหน้ามากกว่า 5,000 ราย
สำหรับปี 53 แม้ว่ากระแสการเกิดวิกฤติการณ์ด้านการเงินที่แม้ว่าจะส่งผลระยะยาวต่อสภาพเศรษฐกิจก็ตาม แต่บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไปจนแล้วเสร็จด้วยด้วยเงินสดที่มีอยู่ในมือ