โบรกเกอร์มองหุ้นไทยช่วงสั้นในเดือนพ.ย.มีความผันผวนจากการปรับฐาน แต่คงไม่หลุด 600 จุด และจากนั้นเดือนธ.ค.จะปรับขึ้นมาจากเม็ดเงินการเข้ามาลงทุนในของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง และเม็ดเงินจากกองทุน LTF-RMF ในช่วงปลายปี
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนา "คุ้ยหุ้นเด่น โค้งสุดท้ายหุ้นไทย"ว่า ตลาดหุ้นในช่วงเดือนพ.ย นี้จะยังความผันผวนอยู่ แต่จะเป็นลักษณะการพักฐานและกลับมาปรับตัวเพิ่มอีกครั้งในเดือน ธ.ค. โดยมองดัชนีอยู่ที่ 740-750 จุด เนื่องจากการกลับมาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก่อนที่จะเข้าสู่เทศกาลคริสมาสต์ รวมทั้งเม็ดเงินจากกองทุน LTF-RMF ในช่วงปลายปีที่จะเป็นแรงสนับสนุนการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน พ.ย ที่ดัชนียังความผันผวนอยู่นั้นก็สามารถทยอยขายออกเพราะยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนเกิดขึ้นทั้งการประกาศตัวเลขการว่างงานของสหรัฐ ประกอบกับในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาตลาดมีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก จึงน่าจะเห็นการเทขายทำกำไรบ้างซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มองว่าการปรับตัวลดลงคงจะไม่เกิน 650-660 จุดเพราะยังมีปัจจัยสนับสนุนโดยเฉพาะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่ยังมีการเติบโตที่ดี ซึ่งสะท้อนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 7.9%
ทั้งนี้มองว่าการปรับตัวของดัชนีในปี 2553 มีโอกาสที่จะเห็นที่ 900 จุด ภายใต้พี/อีที่ 12-13 เท่าเนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศในไตรมาส 4 และจะต่อเนื่องไปยังปี 2553 ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนซึ่งในส่วนของบริษัทมองการเติบโตขยายตัว 4% ในปีหน้า
นางสาวมยุรี กล่าวต่อว่า สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ PTTEP โดยคาดการณ์ผลประกอบการในปีหน้าน่าจะเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่มีโครงการมอนทารา เนื่องจากในปีนี้ก็มีโครงการอื่นๆเป็นจำนวนมาก โดยคาดกำไรของ PTTEP ในปีหน้าเติบโต 54% เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยในปีหน้าน่าจะสูงกว่าปีนี้
หุ้น CPF โดยคาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2552 น่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นและทำสถิติสูงสุด และน่าจะขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้า ซึ่งทุกประเทศก็เน้นการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ CPF ยังมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเพิ่มมูลค่าสินค้าเข้า ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท นอกจากนี้ KBANK เนื่องจากน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้วในแง่ของ ROE และธุรกิจของ KBANK ตลาดหลักเป็น SME ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยูในระดับสูงเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ และ TASCO เนื่องจากโครงการซ่อมบำรุงถนนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกน่าจะดีจากตลาดหลักอย่างประเทศจีน
"เชื่อว่าในช่วงสั้นคงจะมีความผันผวนอยู่ จากปัจจัยภายนอกอย่างการรายงานรายงานตัวเลขการว่างงานของสหรัฐในคืนนี้ ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวออกมาเป็นไปตามคาดการณ์ก็จะเกิด sell on fact แต่อย่างไรก็ตาม การปรับฐานรอบนี้ดัชนีที่ยืนอยู่ที่ 650-660 ได้ และก็เชื่อว่านักลงทุนคนไหนที่ถือหุ้นทั้ง 6 บริษัทที่แนะนำก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีแน่นอน" นางสาวมยุรี กล่าว
ด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยหลักทรัพย์บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วงสั้นจะเห็นการปรับฐานในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่คาดว่าคงจะไม่หลุดที่ระดับ 600 จุด และหลังจากนั้นก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจากเม็ดเงินการเข้ามาลงทุนในของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดียังมีแรงหนุนจากสภาพคล่องในประเทศ ซึ่งหากนักลงทุนในประเทศมีความมั่นใจมากขึ้นก็เป็นปัจจัยบวกที่มีผลต่อดัชนีได้เช่นกัน ทั้งนี้จากการประเมินพบว่าตลาดหุ้นเอเชีย มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีซึ่งหากเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวและมีแนวโน้มในช่วงขาขึ้น ภูมิภาคเอเชียก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่อง นอกจากนี้การที่ประเทศสหรัฐและยุโรปยังมีปัญหาในภาคสถาบันการเงินที่ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้อย่างเต็มที่และในบางรายยังมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนเพื่อแก้ปัญหา ขณะเดียวกันการที่ค่าเงินยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐและยุโรปจึงมีความเสี่ยงมากกว่าการเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชีย
สำหรับค่า P/E ของตลาดเอเชียในปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 14 เท่า จากปี 2550 ที่ค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า ขณะที่ค่า P/E ตลาดไทยปีนี้อยู่ที่ 10 เท่า อีกทั้งประเมินว่าในปีหน้าอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในเอเชียจะอยู่ที่ 22% และให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 16%
สำหรับการลงทุน แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีการอัตราการขยายตัวและมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นในปีหน้า ได้แก่ หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ แนะนำ PTTEP TCAP ที่เชื่อว่าผลประกอบการมีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้ง ROE และกำไรจากการดำเนินงาน ประกอบกับ TCAP ยังมีการซื้อขายต่ำกว่า Book Value นอกจากนี้แนะนำ BAY เพราะได้รับผลดีจากการปล่อยสินเชื่อภาคการบริโภคที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีตามทิศทางเดียวกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จากที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดฯ โดยหุ้นที่แนะนำ คือ ROJNA ที่มีสัญญาณที่จะขายที่ดินได้จำนวนมากและเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อรายได้ และหุ้นในกลุ่มโรงแรมที่มีโอกาสเติบโตจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ คือ CENTEL ซึ่งจะมีรายได้จากการเข้าไปบริหารโรงแรมในต่างประเทศ ซึ่งได้ค่าธรรมเนียมสูง อีกทั้งให้อัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูงและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้การสร้างรายได้ให้เติบโตได้ดี
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 900 จุด จากเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุน และจะมีเม็ดเงินจากลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นจากที่ได้รับผลตอบแทนการลงทุนในตลาดตรสารหนี้ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐฯ โดยช่วงที่หุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงจะเป็นในช่วงไตรมาส 1/53-ไตรมาส 2/53 แต่ในช่วงไตรมาส 3/53 ดัชนีอาจมีการปรับฐานลดลงมาด้วย โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ดัชนีฯจะอยู่ที่ 772 -786 จุดได้ จากเชื่อว่าจะมีแรงซื้อขึ้นมา โดยเชื่อว่าจะเกิด January Effect