บมจ.ซีพีเอฟ(CPF)คาดปี 52 มีโอกาสสร้างผลกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 1 หมื่นล้านบาท หลังจากผ่าน 9 เดือนแรกของปีนี้ทำรายได้ทะลุ 8 พันล้านบาทไปแล้ว แม้ว่ารายได้ทั้งปีอาจพลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโตราว 5-10% โดยอาจจะโตได้เพียง 3-5% ซึ่งปีนี้อาจจะไม่ถึงหรืออาจใกล้เคียง 1.6 แสนล้านบาทที่ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้า โดยอัตรากำไรขั้นต้น(profit margin)ปรับตัวดีขึ้นมาที่ 17% จาก 14% ในปี 51
ส่วนในปี 53 บริษัทตั้งเป้าเน้นการทำกำไรให้ดีต่อเนื่องจากปีนี้ โดยคาดว่าจะมีอัตราเติบโตราว 5% และคาดว่ายอดขายจะเติบโตประมาณ 4-5% ก็พอใจแล้ว ซึ่งบริษัทได้ตั้งงบลงทุนในปีหน้าไว้ราว 4 พันล้านบาท ซึ่งจะเน้นการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะรัสเซียและฟิลิปปินส์
"CPF จบปีนี้เราจะมีกำไรได้เป็นประวัติการณ์ และคิดว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้ดีด้วย ไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ...ต่อไปนี้เราไม่เน้นยอดขายโต แต่เราจะคำนึงถึงกำไรเติบโตสม่ำเสมอ เพื่อจะได้จ่ายปันผลผลให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ เราคิดไว้ว่ากำไรเราจะเติบโตไม่น้อยกว่า 5%ต่อปี" นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผุ้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/52 คาดว่าผลประกอบการจะอ่อนตัวจากไตรมาส 3/52 แต่ภาพโดยรวมจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยปกติผลประกอบการในไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 จะน้อยกว่าไตรมาส 2 และไตรมาส 3 อยู่แล้ว
นายอดิเรก กล่าวว่า การดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตขึ้นอย่างมาก เป็นผลจาการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยภายใน 5 ปีข้างหน้า CPF ตั้งเป้าจะมีรายได้จาก 3 ธุรกิจเท่าๆกันเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะธุรกิจฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 47%ของรายได้รวม แต่จะค่อยๆปรับลดลงเพื่อลดความผันผวนจากธุรกิจนี้
ขณะที่ธุรกิจอาหาร รวมอาหารพร้อมรับประทานภายใต้ตราสินค้า"CP"จะปรับขึ้นมามีรายได้ 1 ใน 3 หรือ 30-33% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 19% เพราะมีมาร์จิ้นสูง ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์ปัจจุบันมีสัดส่วน 34% ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบกับ การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารดีขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง โดยล่าสุดบริษัทออกหุ้นกู้ อายุ 3-5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.8-4.8%
"ในปี 53 จากรูปแบบที่เราเดินมาถูกต้อง อาหารคนจะมี(ยอดขาย)มากขึ้น เพียงขยายข่องทางจัดจำหน่ายในและต่างประเทศเพิ่ม ซึ่งปีหน้าเรามองว่าน่าจะดูดี ตอนนี้บริษัทเรามีความแข็งแรง"นายอดิเรก กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมสต็อกวัตถุดิบสำหรับปีหน้า โดยข้าวโพดได้ซื้อล่วงหน้าไปถึงเดือนก.ค.-ส.ค. 53 ในราคา 6 บาท/กก. และ กากถั่วเหลืองซื้อล่วงหน้าไปถึง เม.ย.53 ในราคา 2 บาท/กก. ทั้งนี้ คาดว่ามาร์จิ้นในปีหน้าจะอยู่ใกล้เคียงกับปี 52 ที่ระดับ 17%
สำหรับงบลงทุนในปีหน้า จำนวน 4 พันล้านบาท แบ่งลงทุนในฟิลิปปินส์ 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนโรงานอาหารปลาและกุ้ง , ในรัสเซีย ลงทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนฟาร์มหมู และที่เหลือจะใช้ลงทุนในประเทศเพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารสำเร็จรูป เช่น เกี๊ยวกุ้ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จะพยายามควบคุมงบการลงทุนไม่เกิน 5 พันล้านบาทต่อปี เพื่อรักษากระแสเงินสด
ส่วนการลงทุนใน ซีพีที่เวียดนาม นายอดิเรก กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่เวียดนาม (CPF ถือหุ้นอยู่ 29% ) กำลังทบทวนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากทางการเวียดนามได้ปรับปรุงกฎเกณฑ์รับบริษัทเข้าจดทะเบียน
ในปีหน้าสัดส่วนจากการลงทุนกิจการในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 18-19% จากปีนี้อยู่ที่ 17% ขณะที่การส่งออกก็จะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ 15% โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ยุโรปและญี่ปุ่น