นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น จำนวน 802 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เคยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งแรกประจำปี 2552 ไปเมื่อเดือนกันยายน ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท เป็นเงิน 1,604 ล้านบาท
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายอีก 2 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 4,000 ล้านบาท จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 ที่บริษัทฯ ได้เปิดโครงการใหม่จำนวน 8 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 11,000 ล้านบาท
LH รายงานผลดำเนินงานไตรมาสที่ 3/52 มียอดขายอันเกิดจากการโอนบ้านรวมทั้งสิ้น 5,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.8% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปี 51 และเพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับยอดขายที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ในส่วนของกำไรสุทธิเท่ากับ 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 51 แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 5.1%
สำหรับผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 52 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 12,768 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,906 ล้านบาท ยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ดีกว่าประมาณการที่บริษัทฯทำไว้ ประมาณ 7% ในขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิทำได้สูงกว่าประมาณการ 22%
สาเหตุที่ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย เมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการเพราะว่า บริษัทฯ สามารถทำกำไรขั้นต้นได้สูงกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับค่าใช้จ่ายทางด้านการขายและบริหารที่เกิดขึ้นจริงก็ต่ำกว่าประมาณการค่าใช้จ่ายที่ได้ตั้งไว้ นอกจากนั้น ส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับจากการลงทุนในบริษัทร่วมก็สูงกว่าที่เคยประมาณไว้ เนื่องจากบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาด
ทางด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ สิ้นไตรมาส 3/52 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 45,897 ล้านบาท ลดลง 206 ล้านบาท จาก 46,103 ล้านบาท ณ สิ้นปี 51 และมีสภาพคล่อง ณ สิ้นไตรมาส 3/52 จำนวน 1,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 51 จำนวน 508 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิของบริษัทฯ ลดลงเล็กน้อยจาก 0.55% ณ สิ้นปี 51 มาเป็น 0.54% ณ สิ้นไตรมาส 3/52
ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อที่ดินไปประมาณ 2,500 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีบริษัทฯ จะซื้อที่ดินทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่เคยประมาณการไว้เพียง 3,000 ล้านบาท