บล.กสิกรไทย(KS) คาดว่าสิ้นปี 52 ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.65% จากในปี 51 อยู่ในระดับ 1.54% เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาว 5% ในปี 55
ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทมีแผนจะเปิดรับเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เก็ตติ้ง)เพิ่มเข้ามาอีก 130 คน เพื่อเน้นการเจาะตลาดลูกค้าระดับกลางและระดับบน โดยเฉพาะการอาศัยฐานลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร KS ระบุว่า 9 เดือนแรกของปี 52 บริษัทมีกำไรกว่า 134 ล้านบาท เติบโตถึง 362% จากงวด 9 เดือนปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 29 ล้านบาท ด้านส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)สูงขึ้นมา 10 อันดับ มาอยู่ที่ 18 จาก 28 เมื่อปีที่แล้ว โดยเชื่อว่าน่าจะขึ้นมาในอันดับ TOP3 ได้ภายใน 3 ปี
ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมาร์เก็ตแชร์(ไม่รวม proprietary trade) เฉลี่ย 10 เดือนแรก ที่ 2.64 % เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 51 ที่ 1.54 % โดยแบ่งเป็นสัดส่วนนักลงทุนบุคคล 70 % ที่เหลือมาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ สำหรับตลาดตราสารอนุพันธ์ (TFEX) หลังจากเริ่มให้บริการมาเมื่อไตรมาส 4/51 ปัจจุบัน บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 1.81 % จาก 0.69 % ในปีผ่านมา และอยู่อันดับ 18 ขึ้นมา 9 อันดับ จากปี 51
ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ ปีนี้บริษัทเน้นที่งานที่ปรึกษาทางการเงินเป็นหลัก โดยตั้งแต่ต้นปีมีดีลที่จบไปแล้วทั้งสิ้น 2 ดีล มูลค่ารวมกว่า 9,000 ล้านบาท และมีดีลที่คาดว่าจะจบภายในสิ้นปี 52 อีก 2 ดีล มูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท ทำให้ทั้งปีมีมูลค่าดีลรวมทั้งสิ้นกว่า 10,000 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของเราออกมาในระดับที่น่าพอใจมาจาก 3 เรื่องหลักคือ 1.การสร้างกิจกรรมทางการตลาดโดยยึดเอาความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือกว่าที่เคยได้รับจากบล.อื่นๆ ภายใต้คอนเซปต์ "KS...more"
2.การทำงานในรูปแบบ Partnership ทั้งกับบริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย พันธมิตรทางธุรกิจ และกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3.การเข้าถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพ ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วทันต่อเหตการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในทุกช่องทางที่ลูกค้าสัมผัส ผ่านทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัทที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากลูกค้าเป็นอย่างดี
สำหรับบริการใหม่ที่บริษัทมีแผนจะให้บริการในต้นปีหน้า คือ บริการนายหน้าซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรอง (Bond Trading) ซึ่ง ในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น โดยการเพิ่มการให้บริการใหม่ๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจะเพิ่มความสำคัญในต้นปีหน้า คือ การขายหุ้นกู้ และกองทุนรวม รวมทั้งจะเน้นขยายฐานลูกค้าสู่ระดับกลางและพัฒนาระบบการซื้อขายออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น