(เพิ่มเติม) MINT คาดปี 53 กำไรโตก้าวกระโดดจากปีนี้พลาดเป้า เล็งลงทุน 4-4.5 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 17, 2009 14:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) ตั้งเป้าปี 53 รายได้เติบโตในระดับ 12-13% และกำไรเติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากในปีนี้ฐานะทั้งรายได้และกำไรค่อนข้างต่ำกว่าคาดการณ์ โดยรายได้อาจจะทรงตัวจากปีก่อนและกำไรลดลงประมาณ 30% แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว เชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจของ MINT ด้วย

ในปีหน้าบริษัทยังวางแผนลงทุนต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุน 4.0-4.5 พันล้านบาททั้งในธุรกิจอาหารและโรงแรม เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และไปสู่เป้าหมายระยะยาวที่บริษัทจะทำรายได้แตะ 4.7 หมื่นล้านบาทภายในปี 57 ซึ่งจะมาจากการขยายสาขาร้านอาหาร และมีจำนวนโรงแรมเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีรายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งด้วย

นางปรารถนา มงคลกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน MINT กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทยอมรับว่ากำไรสุทธิจะต่ำลงประมาณ 30% จากปีก่อน เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจโรงแรม โดยมีอัตราการเข้าพักประมาณ 50% แต่ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 60% เนื่องจากไตรมาส 4/52 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวน่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากสัญญาณทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้เดิมที่คาดว่าจะเติบโตขึ้น 8% นั้น ขณะนี้คาดว่าจะทำได้แค่ใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจโรงแรมส่งผลกระทบอย่างมาก

"ปีนี้เราได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้รายได้และกำไรไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และยังต้องแบกรับภาระพิเศษจากการที่ศาลฎีกาพิพากษาให้เราชำระเงิน 23 ล้านบาท ทำให้ต้องมีภาระเพิ่มเข้ามาอีก ปีนี้กำไรคงลงต่ำกว่า 30% เพราะ 9 เดือนกำไรลดลง 47% แล้ว แต่หวังว่าไตรมาส 4 นี้จะช่วยฉุดให้กำไรทั้งปีไม่ต่ำมาก"นางปรารถนา กล่าว

สำหรับปี 53 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 12-15% กำไรจะดีกว่าปีนี้อย่างก้าวกระโดด เนื่องจากฐานปีนี้ถือว่าต่ำสุด โดยคาดว่าปีหน้าธุรกิจอาหารจะเติบโตราว 10-12% ธุรกิจโรงแรมเติบโต 20% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตอย่างมาก เนื่องจากปีนี้แม้ว่าจะเซ็นสัญญาขายแล้ว 2-5 ยูนิต แต่จะไปรับรู้รายได้ในปี 53 เนื่องจากโครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/53 และคาดว่าปีหน้าจะขายห้องชุดในกรุงเทพได้อีก 8-12 ยูนิต และขายวิลล่าที่สมุยได้ 1-2 หลัง

"เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเห็นจากอัตราการเข้าพักเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ตุลาคม แต่ยังกังวลปัญหาการเมือง เพราะที่ผ่านมาการเมืองในประเทศส่งผลต่อธุรกิจโรงแรมในประเทศมาก หากมีเหตุรุนแรงก็จะทำให้ธุรกิจโรงแรมมีผลกระทบมาก อย่างเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของคนที่จะเข้ามาการท่องเที่ยวในประเทศไทย" นางปรารถนา กล่าว

นางปรารถนา กล่าวถึงแผนการลงทุนในปีหน้าว่า บริษัทจะใช้เงินลงทุนขยายโรงแรมเดิมและสร้างโรงแรมใหม่ รวม 4-5 แห่ง โดยจะแล้วเสร็จในปีหน้า 2 แห่งคือ อนันตรา มัลดีฟ และ เซนท์รีจีส รวมทั้งการขยายสาขาร้านอาหาร ซึ่งมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 80-100 แห่ง จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1,100 แห่ง

บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงแรมและแบรนด์อาหารใหม่ ๆ อีกหลายดีล แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าจะมีโอกาสทางธุรกิจมาก แต่การลงทุนในช่วงนี้ยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จะต้องดูรายละเอียดให้รอบคอบ

และในแผน 5 ปี(53-57) บริษัทตั้งเป้าที่จะมีรายได้เพิ่มเป็น 4.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีสาขาร้านอาหารทั้งหมด 1,600 แห่ง คาดว่าจะทำรายได้ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 50%, โรงแรม 40 แห่ง ทำรายได้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 40% ที่เหลืออีก 10% จะมาจากธุรกิจค้าปลีกและเทรดดิ้งสินค้าแบรนด์แนม คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ

บริษัทมีวงเงินกู้กับสถาบันการเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และยังมีวงเงินที่สามารถออกหุ้นกู้อีก 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทรอประเมินสถานการณ์หากมีภาวะที่เหมาะสมก็อาจจะออกหุ้นกู้อีกในปีหน้า โดยปกติบริษัทจะเสนอขายหุ้นกู้คราวละไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท ส่วนแผนการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ