บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)คาดว่าค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM)เฉลี่ยในปี 52 จะอยู่ที่ประมาณ 5.5-6.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดว่าในไตรมาส 4/52 น่าจะมี GIM ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/52 ที่ประมาณ 5.4 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าไตรมาส 2/52 ที่อยู่ในระดับ 5.8 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากสเปรดของเบนซีนและพาราไซลีนลดลงเล็กน้อย โดยสแปรดของพารไซลีนและ เบนซีน คาดว่าใกล้เคียงไตรมาส 3/52 ทีมี 382 เหรียญ/ตัน และ 217 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ
นอกจากนั้น PTTAR ยังคาดว่าในปี 53 GIM ไม่ต่ำกว่าปีนี้หรืออาจจะใกล้เคียงกัน ซึ่งปีหน้าจะมีกำลังการผลิตของปิโตรเคมีออกมาในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ขณะที่โรงกลั่นในสหรัฐปิดตัวมากพอสมควร ก็อาจจะทำให้ feed stock ที่จะเข้ามาสนับสนุนธุรกิจปิโตรเคมีมีน้อยลง โดยบริษัทยังเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตทั้งในส่วนโรงกลั่น 1.4 แสนบาร์เรล/วัน และอะโรเมติกส์ 2.2 ล้านตัน/ปี
"เราเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตในปีนี้และปีหน้าก็คิดว่าจะเดินเครื่องเต็มที่เหมือนกัน เชื่อว่าปลายปีมาร์จิ้นจะดีขึ้น จากอากาศหนาวและเศรษฐกิจก็เริ่มดีขึ้น สเปรดก็ยังพอไปได้ ปีหน้าก็ยังไม่กล้าฟันธง แต่ก็คิดว่าGIM ไม่น่าจะน้อยกว่าปีนี้หรืออาจจะใกล้เคียง"นายชายน้อย กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมี GIM เฉลี่ย ที่ 4.5 เหรียญ/บาร์เรล โดยไตรมาสแรกตกต่ำมาก และเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 2/52 และ ไตรมาส 3/52
นอกจากนี้ บริษัทได้ประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันในส่วนสินค้าคงคลัง 2 ล้านเหรียญบาร์เรล จากทั้งหมดที่มี 5 ล้านเหรียญบาร์เรล โดยทำประกันในช่วงราคา 68-84 เหรียญ/บาร์เรล เพราะกลัวว่าสิ้นปี 52 ราคาน้ำมันจะปรับลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีหน้า ราคาน้ำมันดิบจะสูงกว่าปีนี้ โดยคาดว่าเฉลี่ยที่ระดับ 75 เหรียญ/บาร์เรล
บริษัทยังกำลังพิจารณาเลื่อนกำหนดการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นออกไปจากไตรมาส 4/53 เป็นไตรมาส 1/54 เนื่องจากบริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงอะโรเมติกส์ในช่วงไตรมาส 1/53 ซึ่งการซ่อมบำรุงแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หรือ 1 เดือนครึ่ง หากปิดซ่อมโรงกลั่นในปีเดียวกันอาจจะทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทค่อนข้างมาก
ส่วนรายได้ในไตรมาส 4/52 คาดว่าจะใกล้เคียงไตรมาส 3/52 ที่มีรายได้ 6.4 หมื่นล้านบาท โดยในงวด 9 เดือนมีรายได้1.58 แสนล้านบาท ฉะนั้นคาดว่ารายได้ทั้งปี 52 คาดว่าจะคงต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 2.7 แสนล้านบาท
PTTAR ยังระบุว่าบริษัทได้เตรียมแผนลงทุนช่วง 5 ปี(ปี 53-57)ใช้เงิน 330 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนในยูโร 4 จำนวน 220 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะแล้วเสร็จปลายปี 54 และเริ่มผลิตในปี 55 ตามที่รัฐบาลกำหนด โดยแหล่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท
กรณีศาลสั่งระงับ 76 โครงการในมาบตาพุดนั้น นายชายน้อย กล่าวว่า แม้ผลของคดีจะออกมาเป็นอย่างไร แผนธุรกิจของบริษัทก็จะไม่เปลี่ยนแปลง โดยหากบริษัทยังไม่สามารถดำเนินโครงการลงทุนในมาบตาพุดได้ บริษัทในกลุ่มปตท.ก็จะเข้าช่วยเหลือกันในส่วนที่ขาดได้ ส่วนการควบรวมกิจการโรงกลั่นในกลุ่ม ปตท.ต้องรอความชัดเจนจากคดีนี้ก่อน คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเดือนธ.ค.นี้
"ทุกอย่างผ่าน EIA หมดแล้วไม่ยังไม่ครบเรื่อง HIA คือเรื่องสุขภาพ แต่เราก็พร้อมจะทำตาม เราขอแค่ความชัดเจน เราทำควบคู่ไปเรื่องสิ่งแวดล้อมให้คนที่นั้นมั่นใจ และถ้าเดินหน้าได้ก็ดีต่อความเชื่อมั่นของประเทศ..ปีหน้าเรามีโครงการใหญ่คือ ยูโร4 เราเริ่มออกแบบแล้ว และคิดว่าจะสร้างเสร็จปลายปี 54 ก็ทันผลิตต้นปี 55" นายชายน้อย กล่าว
ในวันพรุ่งนี้ (18 พ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดนัดสรุปคำไต่สวนกรณีระงับ 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด