PTTCH เผยกำลังศึกษาขยายลงทุนในอาเซียนต่อยอดธุรกิจคาดสรุปปี 53

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 19, 2009 12:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายการลงทุนในประเทศแถบอาเซียน เพื่อต่อยอดธุรกิจโอเลฟินส์ โดยขณะนี้การเจรจาคืบหน้าไปมากแล้วและคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 53

"เรามีจุดยืนที่จะเป็นผู้ส่งออกระดับอาเซียน ซึ่งถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีอนาคตในการเติบโตสูง และได้ไปเจรจาเพื่อลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ในอาเซียนหลายโครงการ คาดว่าปีหน้าจะได้ข้อสรุป" นายวีรศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดงบลงทุนในแผน 5 ปีที่ 6 หมื่นล้านบาท โดยปีหน้ามีแผนใช้งบลงทุนประมาณ 8.3 พันล้านบาท โดยโครงการหลัก คือ LDPE แต่งบลงทุนดังกล่าวยังไม่รวมการลงทุนเข้าไปซื้อกิจการ(M&A)อื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งบริษัทยังมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มอีก

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับผลดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 8 หมื่นล้านบาท แม้ว่า 9 เดือนแรกจะทำรายได้อยู่ที่ 6.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4/52 ราคาเม็ดพลาสติดยังอยู่ในระดับสูง 1,200 เหรียญ/ตัน ถือว่าสูงมาก และกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางและจีนก็ล่าช้ากว่าแผนไปถึงไตรมาส 1/53

รวมทั้งสเปรดยังอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทคาดว่าไตรมาส 4/52 สเปรดของโอเลฟินส์สูงกว่า 300 เหรียญ/ตัน สเปรดโพลิเมอร์ส ประมาณ 200 เหรียญ/ตัน สเปรด MEG ประมาณ 70 เหรียญ/ตัน สเปรดโอลิโอเคมี อยู่ที่ประมาณ 200 เหรียญ/ตัน โดยทั้งปีนี้บริษัทคาดว่าราคาเฉลี่ยของเอทิลีนจะอยู่ที่ 308 เหรียญ/ตัน, HDPE อยู่ที่ 283 เหรียญ/ตัน, MEG 79 เหรียญ/ตัน, โอลิโอเคมี 202 เหรียญ/ตัน ยอมรับว่าราคาอ่อนตัวจากปีที่แล้ว แต่ไม่มากนัก มีเพียง MEG ที่ราคาอ่อนตัวต่อเนื่อง เนื่องจากกำลังการผลิตในตลาดโลกล้น

"ถ้าราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับ 75-77 เหรียญ/บาร์เรล ราคาเม็ดพลาสติกน่าจะยืน 1,200 เหรียญ/ตันได้ และผลประกอบการไตรมาส 4 น่าจะออกมาดี ทั้งปียังได้ตามเป้าที่ 8 หมื่นล้านบาท" นายวีรศักดิ์ กล่าว

ส่วนในปี 53 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 1.5 แสนล้านบาท แม้ว่าจะมีปัญหามาบตาพุด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อโรงแครกเกอร์ใหม่ที่มีกำลังผลิต 1 ล้านตันโรงงาน PTTPE ที่จะเริ่มเดินเครื่องปลายไตรมาส 4/52 เนื่องจากโครงการโรงแยกก๊าซ 6 ที่เป็นแหล่งจ่ายก๊าซหลักของโครงการดังกล่าวต้องชะงักไป ซึ่งบริษัทก็ได้เตรียมแผนสำรองด้วยการปิดโรงแครกเกอร์เดิม(I1) ที่มีกำหนดอยู่แล้วว่าจะปิดซ่อมบำรุง 30-40 วัน เพื่อให้มีก๊าซไปป้อนให้กับโรงใหม่แทน ก็จะทำให้สามารถเดินเครื่องผลิตได้ประมาณ 60% ของกำลังผลิต

แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าปัญหามาบตาพุดจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นและศาลปกครองก็น่าจะมีข้อสรุปได้ในเร็วๆ นี้เนื่องจากสอบพยานครบแล้ว เหลือเพียงให้ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมเท่านั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ