บมจ.น้ำประปาไทย(TTW)เผยคณะกรรมการบริษัทเห็นชอบแผนธุรกิจปี 53 ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในระดับ 10% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 พันล้านบาท จากระดับ 4 พันล้านบาทในปี 52 ซึ่งเติบโตจากปีก่อนประมาณ 12%
แผนธุรกิจดังกล่าว อยู่ภายใต้คาดการณ์ยอดขายน้ำประปาเพิ่มขึ้น 10-12% ในปีหน้า ได้รับผลดีจากความต้องการใช้จากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และ กำลังการผลิตของTTW จะเพิ่มเข้ามาอีก 1.2 แสน ลบ.ม./วันในไตรมาส 3/53 เพิ่มเป็น 4.4 แสน ลบ.ม./วัน ซึ่งจะรองรับความต้องการไปได้อีก 3-4 ปีข้างหน้า โดยบริษัทไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
แต่ยอดขายน้ำของบริษัท น้ำประปาปทุม(PTW)ซึ่งเป็นบริษัทลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 4.5% แต่ในแง่รายได้อาจจะทรงตัว เนื่องจากการปรับราคาขายน้ำอยู่บนพื้นฐานอัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำในปีนี้
รวมทั้งในปีหน้าจะมียอดรับรู้รายได้เต็มปีจากการซื้อสิทธิเข้าไปผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและบำบัดน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จากปีนี้ที่รับรู้รายได้แพียง 4 เดือน ขณะที่ในปีนี้บริษัทได้จ่ายคืนเงินหนี้ก่อนครบกำหนดชำระประมาณ 9 พันล้านบาท ส่งผลดีให้ปีหน้าบริษัทค่าใช้จ่ายด้านการเงิน รวมภาระดอกเบี้ย รวม 230 ล้านบาท
"ปีหน้ารายได้เพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิต ต้นทุนการเงินลดลง โอากสที่จะทำกำไรได้ดีกว่าปีนี้...เราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี รายได้จะเติบโต 2 หลัก หรือ 10%ขึ้นไป" นายสมโพธิ ศรีภูมิ กรรมการผู้จัดการ TTW ให้สัมภาษณ์กับ "อินโฟเควสท์"
นายสมโพธิ กล่าวว่า ยอดขายน้ำของ TTW ในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 220 ล้าน ลบ.ม. และคาดว่าจะได้ปรับราคาขายน้ำเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)ในเดือนธ.ค.52 จะเป็นบวก 3.5-4% หลังจากที่ ต.ค. 52 เริ่มเป็นบวก จะทำให้ทั้งปริมาณขายน้ำและราคาขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการน้ำลูกค้าภาคอุตสาหรกรมเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยลูกค้าสวนนี้มีสัดส่วน ประมาณ 55%
ขณะที่ PTW ใช้ดัชนี CPI ในเดือน ก.ค.ในการปรับราคาขาย แต่ใน ก.ค. 52 CPI ติดลบ 4.4% แม้คาดว่ายอดจ่ายน้ำในปีหน้าเพิ่มขึ้นประมาณ 4.5% จะทำให้รายได้จาก PTW ในปีหน้าคาดว่าจะทรงตัวจากปีนี้ เพราะฟื้นที่ให้บริการส่วนใหญ่เป็นภาคครัวเรือน
ส่วนการเข้าผลิตและขายน้ำประปาในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน คาดว่าจะมียอดขายทั้งปีอยู่ที่ 6.5 ล้านลบ.ม. รวมการให้บริการบำบัดน้ำเสีย คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 175-178 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีหนี้สินรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นกู้ 7 พันล้านบาท โดยรวมแล้วเฉลี่ยต้นทุนทางการเงินที่ 4.3% และมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ระดับ 1.4 เท่า และปัจจุบันมีเงินสดในมือประมาณ 1.6 พันล้านบาท(ณ สิ้น ก.ย.52)
*คาดได้ข้อสรุปลงทุนธุรกิจน้ำในอาเซียนได้ครึ่งหลังปีหน้า
สำหรับการลงทุนธุรกิจน้ำประปาในประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ คาดว่าครึ่งปีหลังของปีหน้า เลื่อนจากที่เดิมจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้ เนื่องจากความล่าช้าในการจัดหาที่ปรึกษาต่างประเทศ จากที่ได้เลือกที่ปรึกษาในประเทศแล้วไม่มั่นใจ โดยหากได้ข้อศึกษาก็จะยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลประเทศนั้นๆ
"ถ้าผลการศึกษาออกมาดี เราก็จะติดต่อกับรัฐบาลว่าเขาจะเอาด้วยหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐบาล ก็ยอมรับว่าเรื่องน้ำเป็นเรื่องที่รัฐบาลมองเป็นเรื่องสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็จะมองเรื่อง ถนน ไฟฟ้า สื่อสาร กันไว้ก่อน"นายสมโพธิ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัท มีแผนศึกษาโครงการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งขึ้นอยู้กับนโยบายภาครัฐเอาจริงเอาจังอย่างไร และ ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น โรงไฟฟ้าชีวภาพ หรือ Green Energy เพราะดูแนวโน้มธุรกิจน้ำในต่างประทศ ก็จะขยายตัวเองมากับธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งคาดว่าเป็นศึ่กษาโครงการภายใน 5 ปีนี้
ขณะที่โครงการผลิตสารส้ม บริษัทได้ยกเลิกโครงการนี้แล้วเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพราะราคาขายในประเทศปรับตัวลลดง 40% ซึ่งเป็นผลจากการผ่อนคลายกฏช้อบังคับของทางการ ทำให้พิจารณาแล้วว่า ไม่ควรดำเนินการลงทุน แต่จะซื้อเพิ่มจากผู้ผลิตอีก 1 รายเป็น 2 รายเพื่อลดความเสี่ยง
ปัจจุบันค่าใช้จ่ายสารส้มหลังลดราคาแล้วอยู่ประมาณ 125 ล้านบาทต่อปี ติดเป็น 60% ของค่าใช้จ่ายสารเคมีทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากราคาปรับตัวขึ้นไปอีก บริษัทก็อาจนำกลับมาพิจารณาใหม่ก็ได้
*ผิดหวังหุ้นในกระดาน สวนทางปัจจัยพื้นฐาน
นายสมโพธิ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับราคาหุ้นในกระดาน ซึ่งขณะนี้ใกล้เคียงกับราคาจองที่ 4.20 บาท ทั้ง ๆ ที่ในช่วงเวลาปีครึ่งที่เช้าตลาดมา บริษัทได้ทำกำไรเติบโตตลอด และมีการจ่ายเงินปันผล
"ไม่ Happy กับราคาหุ้นเลย คิดว่าหุ้นเรา underperform ราคาที่เห็นไม่สมเหตุสมผล...คิดว่านักลงทุนยังไม่เข้าใจธุรกิจของเราดี"นายสมโพธิ กล่าว
ทั้งนี้ มองว่า 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาหุ้นในกระดานทรงตัว มาจากข่าวที่สหภาพการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายน้ำประปากับบริษัท ประท้วงหรือไม่พอใจบริษัท แต่ทางการประปาส่วนภูมิภาคได้ชี้แจงว่าการทำสัญญากับบริษัทถูกค้อง แต่นักลงทุนอาจยังมองว่าบริษัทมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องนี้ และได้รับข่าวเพียงด้านเดียว ทำให้นักลงทุนยังกังวลอยู่
อีกประเด็นคือเรื่อง เงินเฟ้อ หรือ CPI ที่ถูกผูกโยงกับราคาหุ้น TTW ซึ่งในปีนี้ CPI ติดลบมาตลอด ทำให้ราคาหุ้นผันผวนไปกับตัวเลข CPI แต่รายได้ของบริษัทไม่ได้มาจากการปรับราคาขายที่อ้างอิงกับ CPI อย่างเดียว โดยการเติบโตหลักมาจากยอดขายที่ขยายตัวมากกว่า
ช่วงเช้านี้ หุ้น TTW ปิดที่ 4.18 บาท ราคาไม่เปลี่นแปลง