KEST คาดออก DW มูลค่า 800 ลบ.ใน Q1/53,ทุ่มงบพัฒนาไอทีรองรับธุรกรรมใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 24, 2009 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)(KEST) เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทได้มีการเตรียมแผนในการรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นที่คาดว่าจะทำให้รายได้ลดลงราว 10-20% ภายใต้คาดการณ์วอลุ่ม 18 หมื่นล้านบาท/วัน โดยจะผลักดันธุรกรรมใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้จากค่าคอมมิชชั่นที่เคยเป็นรายได้หลักที่มีสัดส่วน 90% ของรายได้รวมในปีนี้ ลดลงเหลือ 85% ในปีหน้า ขณะที่รายได้จากธุรกรรมประเภทอื่นจะเข้ามาเพิ่ม 15%

"ต้องยอมรับว่าตอนนี้ทุกคนมองสถานการณ์เรื่องค่าคอมมิชชั่นเหมือนปี 1999-2000 ที่เกิดสงครามราคา บล.ทุกคนได้ผลกระทบแต่ ณ ตอนนี้ ผมว่าไม่เหมือนครั้งนั้นแล้วเพราะตอนนี้แต่ละแหล่งก็มีคนซัพพอร์ตอยู่ด้านหลัง อย่างเราก็มีแม่คอยช่วยเหลือ และพร้อมให้เราทุ่มเทการลงทุนเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็อยู่ที่ว่าใครจะมีกลยุทธและวิธีได้ดีกว่ากันเท่านั้น" นายในตรี กล่าว

บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุนด้านไอที ซึ่งจะเป็นการรองรับการทำธุรกรรมใหม่ และยังเป็นการรักษาฐานลูกค้าให้กับบริษัท โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50-100 ล้านบาท

นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะเพิ่มธุรกรรมใหม่ทั้งในส่วนการให้ยืมหลักทรัพย์(SBL) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(Derivatives Warrant) ซึ่งถือว่าเป็นธุรกรรมใหม่ โดยคาดว่าจะออกตัวแรกในไตรมาส 1/53 มูลค่ารวม 800 ล้านบาท โดยจะอ้างอิงหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดและจะเปิดกว้างให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

"การหารายได้จากการทำธุกรรมใหม่ๆ จะทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นลดน้อยลง เพราะปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่มีวงเงินกว่า 20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30% ทั้งจากต่างประเทศและสถาบันในประเทศ"นายมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนของปี 52 บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ 10.58% มาร์เก็ตติ้งจำนวน 600 คน มีสาขา 42 แห่ง ทำให้มองว่าสามารถรักษามาร์เก็ตแชร์เฉลี่ย 10% ได้ ขณะที่ 9 เดือนมีมาร์เก็ตแชร์อนุพันธ์อยู่ที่ 10.87%

นายมนตรี กล่าวว่า สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจ(IB)เชื่อว่าปีหน้าจะกลับมาดีขึ้น โดยขณะนี้บริษัทมีดีล M&A ในมือ 8-10 ดีล, Property Fund 2-3 ดีล , IPO 10-15 ดีล ซึ่งเป็นดีลขนาดใหญ่ 3 พัน -1 หมื่นล้านบาทอยู่ 2 ดีล ถือว่ามีส่วนสำคัญในการดึงนักลงทุนสถาบันเข้ามาร่วม , Equity Private Placement 1-2 ดีล, Fix income 2-3 ดีล และ Private Placement 2-4 ดีล

ในส่วนของการควบรวมกิจการนั้น นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทยังเปิดกว้างรับพันธมิตรใหม่ โดยมองว่าเมื่อสถานการณ์ธุรกิจหลักทรัพย์ในขณะนี้เริ่มมีการแข่งขันกันมากขึ้น ก็จะส่งผลทำให้จะเห็นการควบรวมกิจการในกลุ่มโบรกเกอร์ง่ายขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการพูดคุยกันกับผู้สนใจหลายราย แต่ยังไม่มีข้อสรุปในขณะนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ