นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนงบลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนราว 3.5-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก่อนหน้านี้ ทำให้ค่าก่อสร้างและค่าเครื่องจักรปรับลดลง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงกลางปี 53
บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการอีกครั้งเพื่อทบทวนงบลงทุน โดยคาดว่าจะปรับลดลงอีกหลังจากที่ราคาก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีเริ่มราคาลดลง ประกอบกับเครื่องจักรราคาลดลงด้วยหลังช่วงก่อนหน้านี้ทั่วโลกต่างเร่งสร้างโรงปิโตรเคมีหลายแห่งในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น ทำให้บุคลากรและวัสดุอุปกรณ์ขาดแคลนราคาจึงปรับเพิ่มสูงขึ้นแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ราคาเริ่มมีทิศทางที่ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าจะใช้เวลาทบทวนแผนการลงทุน มูลค่าการลงทุน และหาแหล่งระดมเงินจากสถาบันการเงินที่เริ่มให้ความสนใจปล่อยวงเงินกู้หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวและสภาพคล่องทางการเงินปรับตัวดีขึ้นมาก หลังจากช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินหยุดการปล่อยวงเงินกู้ เพราะกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเหล่านี้ในช่วงไตรมาส2/53
นายกานต์ กล่าวว่า โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนามกว่าจะแล้วเสร็จต้องใช้เวลาหลังเริ่มก่อสร้าง 3-5 ปี ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวจึงต้องใช้เวลากว่าจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนเช่นเดียวกัน แต่บริษัทไม่มีความกังวลในแง่ของลูกค้า เนื่องจากประเทศเวียดนามยังไม่สามารถผลิตปิโตรเคมีได้เอง เชื่อว่าตลาดในประเทศจะสามารถรองรับได้เพียงพอ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะผลิตปิโตรเคมีตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ HDPE โพรพิลีน เป็นต้น ถือเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรและมีท่าเรือนำลึกเป็นของตัวเองด้วย
"การรีวิวแผนการลงทุนในโครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลา 6-7 เดือน ไตรมาส 2/53 น่าจะแล้วเสร็จและเชื่อว่าเมื่อสรุปสัดส่วนการถือหุ้นและมูลค่าการลงทุนแล้วบริษัทมีเม็ดเงินเพียงพอสำหรับการลงทุนจำนวนดังกล่าวโดยเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่เตรียมไว้แล้ว"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทยังอาจจะพิจารณาขายหุ้นในบริษัทร่วมทุนในส่วนที่เครือ SCC ถือหุ้นอยู่ให้กับผู้ร่วมทุนรายอื่น หากมีผู้แสดงความสนใจที่จะร่วมลงทุนด้วยเพิ่มเติมอีกในอนาคต
อนึ่ง SCC ลงนามลงนามในกรอบความตกลงกับ Qatar Petroleum International (QPI) เพื่อร่วมลงทุนก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในเวียดนาม โดยเครือ SCC ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 25% จากเดิมที่กลุ่มเครือซีเมนต์ไทยที่ถืออยู่ 71% , QPI ถือหุ้น 25%,บมจ. ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์(TPC) 16% และบริษัทเทรดดิ้งจากญี่ปุน 5% ที่เหลืออีก 29% เป็นพันธมิตรจากเวียดนาม คือ Petrovietnam กับ Vinachem
"การถือหุ้นยังไม่นิ่ง เพราะหากมีโอกาสที่ดีก็พร้อมที่จะหาผู้ร่วมทุนเพิ่มโครงการใหญ่ขนาดนี้ต้องการผู้ร่วมทุนทีมีศักยภาพ แม้ว่าเราจะขายส่วนที่ถืออยู่ออกไป 25%ให้กลุ่มทุนการ์ต้าแล้วก็ตาม แต่ปูนซีเมนต์ไทยต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโครงการปิโตรเคมีที่เวียดนามแน่านอนเพราะเป็นโครงการที่บริษัทิเริ่มและเห็นโอกาสเติบโตสูง" นายกานต์ กล่าว