นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า กองทุนรวมที่บริษัทเป็นผู้บริหารจัดการไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นในดูไบ เนื่องจากเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ของรัฐอาบูดาบี
"บริษัทได้มีการติดตามสถานการณ์ของรัฐดูไบมาโดยตลอด และเล็งเห็นถึงความเสี่ยงที่มากเกินไป จึงไม่ได้มีการลงทุนในดูไบแต่อย่างใด" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ปิดจำหน่ายกองทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ เอฟไอเอฟ 2 (KTFF2) เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกองทุนที่มีอายุโครงการ 2 ปี 11 เดือน มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท สามารถระดมเงินลงทุนได้ 148 ล้านบาท
กองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในพันธบัตรของรัฐอาบูดาบี ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) , บริษัท ลาส รัฟฟาน ลิควีไฟด์ เนเชอรัล แก๊ส จำกัด,บริษัท อาบูดาบี เนชั่นแนล เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) และลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ ในสัดส่วนสถาบันละประมาณ 25 %ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3% ต่อปี
นายสมชัย กล่าวว่า รัฐอาบูดาบีมีความเข้มแข็งกว่าดูไบมาก เนื่องจากเป็นรัฐขนาดใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับอามิเรตส์ โดยมีพื้นที่ประมาณ 67,340 ตร.กม. หรือประมาณ 80%ของประเทศ และมีรายได้สูงสุดมาจากการส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาบูดาบีมีปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองคิดเป็นประมาณ 95% ของปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองของประเทศทั้งหมด และถือเป็นปริมาณน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองมากเป็นลำดับที่ 7 ของโลก
ดังนั้น รัฐอาบูดาบีจึงมีทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถแปลงเป็นเงินทุนได้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากดูไบที่ไม่มีน้ำมันดิบสำรองเหลืออยู่แล้ว โดย Moody’s ได้ให้อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐอาบูดาบีที่ Aa2
นอกจากนี้ รัฐอาบูดาบียังได้เก็บรายได้จากการขายน้ำมันเข้าสู่ Sovererign Wealth Fund (SWF) คือ Abu Dhabi Investment Authority (ADIA) ซึ่งนับเป็น SWF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อว่ามีทรัพย์สินภายใต้การจัดการอยู่ระหว่าง 6.5 ถึง 8.75 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. ในปี 2551 ซึ่งใหญ่กว่า SWF ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของนอร์เวย์ถึงประมาณหนึ่งเท่าตัว
สำหรับบริษัทอาบูดาบี เนชั่นแนล เอ็นเนอร์จี จำกัด (มหาชน) เป็นธุรกิจด้านพลังงานครบวงจรของรัฐ อาบูดาบี มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Abu Dhabi Water and Electricity Authority ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ส่วนบริษัท ลาส รัฟฟาน ลิควีไฟด์ เนเชอรัล แก๊ส จำกัด เป็นบริษัทในเครือของกาตาร์ปิโตรเลียมซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านปิโตรเลียมและการพัฒนาพลังงานของประเทศกาตาร์ ซึ่งรัฐบาลกาตาร์ถือหุ้นใน Qatar Petroleum ประมาณ 10%