ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงส่งท้ายปลายสัปดาห์เมื่อคืนนี้ (27 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนต่างส่งแรงเทขายหุ้นออกมาท่ามกลางความวิตกกังวลต่อรายงานข่าวเรื่องการเลื่อนนัดชำระหนี้ของบริษัทดูไบ เวิลด์ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐเปิดทำการครึ่งวันในเช้าวันศุกร์ หลังจากที่ได้ปิดทำการซื้อขายไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 154.48 จุด หรือ 1.48% แตะที่ 10,309.92 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ทรุดตัว 19.14 จุด หรือ 1.72% ปิดที่ 1,091.49 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 37.61 จุด หรือ 1.73% ปิดที่ 2,138.44 จุด
บรรยากาศการซื้อขายเผชิญกับปัจจจัยลบจากรายงานข่าวที่ว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ได้ขอให้ธนาคารและเจ้าหนี้อนุญาตให้บริษัทเลื่อนนัดชำระหนี้จำนวน 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ออกไปอีก 6 เดือน หลังบริษัทเผชิญกับวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งทำให้ราคาบ้านร่วงลงถึง 50% จากระดับสูงสุดในปี 2551
ขณะเดียวกัน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 แห่งทั้งสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ดูไบ เวิลด์ลงสู่สถานะ "junk" หรือ "ขยะ" พร้อมทั้งชี้ว่า รัฐบาลอาจต้องพิจารณาแผนการของดูไบ เวิลด์ในการเลื่อนนัดชำระหนี้
ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลดูไบในครั้งนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนจำนวนมากเนื่องจากเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพิ่งมีข่าวให้นักลงทุนได้สบายใจว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ดูไบจะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ด้านนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นมองว่า สิ่งที่นักลงทุนหวาดกลัวที่สุดคือ ผลกระทบลูกโซ่ที่อาจเกิดขึ้นตามมา เพราะจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของดูไบ ในฐานะที่เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ รายงานการวิจัยจากเครดิตสวิสระบุว่า ธนาคารในยุโรปอาจได้รับผลกระทบหนักสุด หากดูไบ เวิลด์ ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการชำระหนี้ได้ เนื่องจากธนาคารโรยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ เป็นผู้ค้ำประกันหนี้สินรายใหญ่สุดของดูไบ เวิลด์ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบให้ธนาคารในยุโรปมียอดขาดทุนรวมกันทั้งสิ้น 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินและพลังงานดิ่งลงฉุดดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ แต่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจหุ้นกลุ่มบริษัทค้าปลีก และกำลังจับตาความเคลื่อนไหวในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวในช่วงเทศกาลการจับจ่ายซื้อสินค้า เพื่อประเมินสถานการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐต่อไป