นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ราว 1 แสนล้านบาท ด้วยการเพิ่มบริษัทจดทะเบียนใหม่ และ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1.75-2.20 หมื่นล้านบาท/วัน พร้อมวาง 4 กลยุทธ์เพิ่มศักยภาพตลาดทุนไทยเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ตลท.จะผลักดันให้มีการเพิ่มบริษัทจดทะเบียนใหม่โดยเน้นที่ขนาดมาร์เก็ตแคปมากกว่าจำนวน จากปีนี้ที่คาดว่ามาร์เก็ตแคปของบริษัทจดทะเบียนใหม่อยู่ที่ 3-4 หมื่นล้านบาท เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายหลักในระยะ 5 ปี เพิ่มมาร์เก็ตแคปเทียบให้เติบโตเป็น 130% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)จากปัจจุบันอยู่ที่ 86% ขณะเดียวกันก็จะผลักดันนโยบายของภาครัฐผ่านทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)เพื่อกำหนดบริษัทลูกของรัฐวิฐสาหกิจเข้าจดทะเบียน
นอกจากนั้น ยังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า 10 บาท(Gold Futures) ที่จะเห็นในไตรมาส 1/53, สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยไตรมาส 4/53 และการเพิ่มกองทุนประเภท Exchange Traded Funds(ETFs) ใหม่เพื่อลงทุนใน 4 หลักทรัพย์ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเพิ่มปริมาณการซื้อขาย SET 50 Index Futures เป็นเฉลี่ย 10,000-12,000 สัญญา/วันจากปัจจุบัน 9,000 สัญญา/วัน เพื่อเพิ่มเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและการเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุนมาก
ตลท.ได้ตั้งเป้าหมายใปนีหน้ามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 17,500-22,000 ล้านบาท/วัน จากปีนี้อยู่ที่เฉลี่ย 1.8 หมื่นล้านบาท/วัน พร้อมทั้งวางกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพตลาดทุนไทย 4 แนวทางได้แก่ 1.การเพิ่มคุณภาพและยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย หลังจาก MSCI ได้มีการลดน้ำหนักในการนำตลาดหุ้นไทยเข้าไปคำนวณดัชนีเหลือ 1.9% จากเดิม 4% 2. การเพิ่มสภาพคล่อง 3. การสร้างฐานสำหรับอนาคต และ 4.การเตรียมความพร้อมรับกระบวนการปฎิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทมหาชน
ส่วนโครงการ ASEAN linkage ซึ่งเป็นความร่วมมือของตลาดหุ้นในกลุ่มอาเซียนนั้น ในปี 53 จะเห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถรองรับการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/54 รวมทั้งการยกระดับความร่วมมือในประเทศกลุ่มอินโดจีนในการจดทะเบียนสองตลาดแบบ(Dual Listing) ซึ่งขณะนี้มี 2-3 ประเทศที่ให้ความสนใจ
ด้านนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ในปีหน้า ตลท.จะเน้นเพิ่มสภาพคล่องบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางที่มีประวัติการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีสัดส่วนเพียง 18% ขณะที่ศฮ่องกงที่มีสัดส่วนสูงถึง 59%รองมาประเทศสิงค์โปร์ 46% มาเลเซีย 42%
นอกจากนี้ จะเพิ่มปริมาณธุรกรรมนักลงทุนสถาบันในตลาดอนุพันธ์ด้วยการพัฒนาช่องทางและการปรับปรุงเกณฑ์ให้เอื้อต่อ การเข้าถึงนักลงทุนมากขึ้น ตลอดจนการผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อนุญาตให้มีการวางหลักประกันเป็นเงินสกุลต่างประเทศได้ ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินและเพิ่มความคล่องตัวให้กับนักลงทุนสถาบันอีกทาง
และการผลักดันนโยบายภาครัฐให้คณะกรรมการบริหาร กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และสำนักงานประกันสังคม (สปส.)สามารถลงทุนตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มขึ้น