บมจ.โรงแรมเซ็นทรัล(CENTEL)คาดว่าในปี 53 บริษัทจะพลิกฟื้นขึ้นมาเติบโตทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ เนื่องจากมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในธุรกิจอาหารและโรงแรม โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ถึง 13-15% จากปีนี้คาดว่าทำรายได้ราว 8.2-8.3 พันล้านบาท เติบโตแค่ 1-2% จากปีก่อน และในแง่กำไรน่าจะเติบโตได้มาก เนื่องจากบริษัทเจรจาเข้ารับบริหารโรงแรมกว่า 10 แห่งในปีหน้า ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันอัตรากำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 2.4 พันล้านบาท ซึ่งจะใช้ในการปรับปรุงโรงแรมที่ลาดพร้าว เปิดโรงแรมใหม่ที่ภูเก็ต และลงทุนในธุรกิจอาหาร เป็นต้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อแบรนด์อาหาร 2 ราย และพัฒนาของตัวเองอีก 2 ราย
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินบัญชีและบริหาร CENTEL กล่าวว่า รายได้ในปีนี้ 8.2-8.3 พันล้านบาท เติบโตเพียง 1-2% จากปี 51 โดยรายได้ในปีนี้จะมาจากธุรกิจโรงแรม 3.8 พันล้านบาท และธุรกิจอาหาร 4.5 พันล้านบาท หลังจากนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ยในธุรกิจอาหาร 14% และ ธุรกิจโรงแรมมากกว่า 15%
โดยในปี 53 บริษัทจะให้ความสำคัญในการเข้าไปรับบริหารโรงแรมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจามากกว่า 10 ราย อาทิ เวียดนาม ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่คาดว่าในปี 53 คงจะทยอยการเข้าไปบริหารโรงแรมประมาณ 5 ราย หลังล่าสุดเพิ่งได้เข้าไปบริหารโรงแรมที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ใน ม.ค.53 คาดว่าจะมีรายได้จากการบริหารโรงแรมที่อียิปต์ ปีละ 13-14 ล้านบาท
การบริหารโรงแรมดังกล่าวจะสนับสนุนให้ Net Profit Margins ปี 53 สูงกว่าปี 52 โดยในปี 53 สัดส่วนการบริหารโรงแรมในต่างประเทศคิดเป็นมากกว่า 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% เป็นการบริหารโรงแรมในประเทศ ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่เดือน ก.ย.-ต.ค.ที่ผ่านมา อัตราการเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับในไตรมาส 4 ปี 52 มีอัตราการจองห้องพักแล้ว และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 เพียงแต่ลักษณะการจองจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นช่วงสั้นๆ เพราะลูกค้าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายจากปัญหาเศรษฐกิจ
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจในประเทศยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทมีที่ดินรอการพัฒนาที่เกาะลันตา ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 1 ปี 53 จะสามารถสรุปรูปแบบและเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 2 อีกทั้งยังมีที่ดินที่เกาะกูด และเกาะมุกด้วย ซึ่งจะทยอยพัฒนาเช่นกัน โดยจะใช้กระแสเงินสดที่มีอยู่ 2 พันล้านบาทโดยไม่ต้องเพิ่มทุน
ในส่วนของธุรกิจอาหาร ในปี 53 มีแผนจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ 4 แบรนด์ โดยจะแบ่งเป็นแบรนด์ที่ซื้อมาจำนวน 2 แบรนด์ คือ Chabuton ซึ่งจะเห็นในไตรมาส 1 ส่วนอีกแบรนด์นึงเป็นไอศกรีมดัง ระดับพรีเมี่ยม อยู่ระหว่างการรอเซ็นต์สัญญา ขณะที่อีก 2 แบรนด์จะเป็นแบรนด์ที่บริษัทจะพัฒนาเอง คือ Ryu Chabu Chabu เปิดไตรมาส 1 ปี 53 และไอศกรีม เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ เปิดไตรมาส 1 เช่นกัน นอกจากการเพิ่มร้านอาหารแบรนด์ใหม่แล้ว บริษัทมีแผนจะปิดแบรนด์อาหาร 1 แบรนด์ คือ Baskin Robbins ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากทยอยปิดสาขามาเรื่อยๆ จนปัจจุบันเหลือเพียง 16 สาขา
ซึ่งจะทำให้ร้านอาหารในเครือ 5 แบรนด์ โดยคาดว่าแบรนด์ใหม่จะสร้างรายได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 29% ในปี 58 ส่วนแบรนด์เดิม จะมีสัดส่วนรายได้เป็น 71% จากปี 53 ที่แบรนด์ใหม่จะมีสัดส่วนรายได้เพียง 2% แบรนด์เดิม 98%
ส่วน 53 เตรียมเงินลงทุน 2,401 ล้านบาท แบ่งเป็นการปรับปรุงโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทาราแกรนด์ ลาดพร้าว แต่จะเป็นการทยอยปรับปรุง ใช้เงิน 635 ล้านบาท เปิดโรงแรมใหม่ที่ภูเก็ตและปรับปรุงโรงแรมอื่นๆ รวม 1,466 ล้านบาท ใช้ในธุรกิจ 300 ล้านบาท ซึ่งงบลงทุนในปี 53 จะน้อยกว่าปี 52 ที่มีการลงทุน 2,902 ล้านบาท
ส่วนปัญการที่เกิดขึ้นกับ Dubai World ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากไม่ได้มีการลงทุน ไม่มีการร่วมทุน และไม่มีการเข้าไปบริหารโรแงรมที่นั่น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ได้มีการสอบถามมาเช่นกัน และได้ชี้แจงไปเรียบร้อย