ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลจากปัญหาหนี้สินของดูไบ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประกาศจัดกองทุนกู้ยืมพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนชำระหนี้ของบริษัท ดูไบ เวิล์ด ของรัฐบาลดูไบ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายผันผวนตลอดทั้งวันเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเรื่องอัตราว่างงานและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค แม้มีรายงานว่ายอดค้าปลีกในช่วงวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 34.92 จุด หรือ 0.34% แตะที่ 10,344.84 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 4.14 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 1,095.63 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น 6.16 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 2,144.60 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.35 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 18 ต่อ 13 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.02 พันล้านหุ้น
นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินในดูไบหลังจากธนาคารกลางยูเออีประกาศให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ธนาคารภายในประเทศและธนาคารต่างชาติ ด้วยการประกาศจัดกองทุนกู้ยืมพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนชำระหนี้ของบริษัท ดูไบ เวิล์ด ของรัฐบาลดูไบ โดยธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ดูไบ เวิลด์ รวมถึงธนาคาร HSBC, ธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป, ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ และธนาคารบาร์เคลย์ส
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนกต่อข่าวที่ว่าบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ซึ่งมีหนี้สินรวม 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ วางแผนเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า ซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี
อย่างไรก็ตาม ตลาดเคลื่อนตัวผันผวนตลอดวันเนื่องจากความกังวลเรื่องอัตราว่างงานและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค แม้สมาคมผู้ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐ (NRF) รายงานว่า ยอดค้าปลีกในช่วงวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.12 หมื่นล้านดอลลาร์ จากปีที่แล้วที่ระดับ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจำนวนผู้ที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยตามร้านค้าและผู้ที่ซื้อของทางเว็บไซท์ในช่วงวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าพุ่งขึ้นเป็น 195 ล้านคน จากปีที่แล้วที่ระดับ 172 ล้านคน
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง โดยหุ้นเมซีปิดลบ 3.9% หุ้นทาร์เก็ต กรุ๊ปปิดร่วง 2.4% หุ้นแซคส์ อิงค์ ปิดลบ 6.4% แต่หุ้นค้าปลีกออนไลน์ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอีเบย์ อิงค์ ปิดบวก 5.4% และหุ้นอเมซอนปิดพุ่ง 3.2%
นักลงทุนจะจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆในสหรัฐในสัปดาห์นี้เพื่อนำมาเป็นปัจจัยประกอบการซื้อขาย โดยวันอังคาร สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค. วันพุธ ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานทั่วประเทศเดือนพ.ย. และเฟดจะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบัน ISM จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.
ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนต.ค.และกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนพ.ย. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะลดลง 120,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติที่ลดลงน้อยที่สุดในรอบ 2 ปี และคาดว่าอัตราว่างงานจะยืนอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 10.2% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในเดือนต.ค.