นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท(ESTAR) ยอมรับรายได้ปี 52 ทำได้แค่ 800 ล้านบาท พลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้ราว 1,050 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ และยอดขายรอโอน(backlog)มีน้อย แต่เชื่อว่าในปี 53 จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขาย 1.68 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างน้อย 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4-5 พันล้านบาท
บริษัทได้ตั้งงบซื้อที่ดินใหม่ในปีหน้าไว้ประมาณ 1 พันล้านบาท โดยจะมาจากเงินกู้ และเงินสดที่บริษัทมีอยู่ 630 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นทำเลในกรุงเทพฯ เป็นหลัก โดยจะมุ่งสู่เป้าหมายทำยอดขายให้ได้กว่า 4 พันล้านบาทในปี 55 และคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ราว 190 ล้านบาทได้หมดในปี 54
นายรัตนชัย กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทรับรู้รายได้หลักจาก backlog ที่มีประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะไปรับรู้ฯ ในปีหน้า และแม้ปีหน้าจะมีการเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 4-5 พันล้านบาท ก็คงจะรับรู้ฯ ไม่ทันในปี 53 จึงทำให้รายได้ในปีหน้าคงจะใกล้เคียงปี 52
สำหรับโครงการใหม่ที่มีแผนจะเปิดตัวในปีหน้าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ โดยคอนโดฯ มี 1 แห่งอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน คาดว่าจะสรุปในไตรมาส 1/53 ส่วนอีก 2 โครงการ คือ โครงการ Star Estate ตั้งอยู่ย่านรัชดาภิเษกใกล้แยกรัชวิภา และ อีก 1 โครงการ คือ โครงการ Star Estate ตั้งอยู่ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์
และใน 3-4 ปีข้างหน้า บริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีจำนวนโครงการประมาณ 20-25 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่กว่า 80-90% จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม และ 10-20% เป็นโครงการแนวราบ ขณะเดียวกันในส่วนของยอดขาย บริษัทฯตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 53 จะมียอดขาย 1,680 ล้านบาท จากนั้นปี 54 เพิ่มเป็น 2,600 ล้านบาท และปี 55 จะมียอดขายเพิ่มเป็น 4,000 กว่าล้านบาท
"ปีก่อนผมเตรียมลุยในการเปิดโครงการ แต่เจอปัญหาเศรษฐกิจจึงชะลอไปก่อน บอร์ดก็เตือนให้ทำอย่างระมัดระวังจึงทำให้เราไม่มี backlog สะสมเหมือนคนอื่น แต่หลังจากนี้ไปจะเห็นการลุย ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการเปิดโครงการในกรุงเทพฯ"นายรัตนชัย กล่าว
กรรมการผู้จัดการ ESTAR กล่าวว่า บริษัทฯจะหยิบยกแผนเสนอขายที่ดินจำนวน 600 ไร่ ที่จังหวัดระยองขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งในปี 53 หลังจากที่ชะลอไปในปีนี้ โดยอาจจะขายทั้งหมดหรือหากผู้เข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ สาเหตุที่ชะลอการเจรจากับผู้สนใจรายเดิมเพราะเจอปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งทางบริษัทฯจะเข้าไปเจรจาอีกครั้งในปีหน้า และจะเปิดกับข้อเสนอจากรายอื่นด้วย
ส่วนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใน จ.ระยอง ก็ทยอยเปิดไปเรื่อย ๆ แต่มูลค่าโครงการไม่มาก ซึ่งก็ขายได้ 200-300 ล้านบาท/ปี ขณะเดียวกันที่ผ่านมาในช่วงกลางปี 52 บริษัทฯมีการศึกษาและจะเข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทนอกตลาด 1 บริษัท มีมูลค่า 1 พันล้านบาท แต่ก็ไม่ตกลงกันได้ เนื่องจากราคาที่เสนอขายอยู่ในระดับสูง จึงเห็นว่าไม่คุ้มที่จะเข้าไปลงทุน
นายรัตนชัย กล่าวต่อว่า บริษัทฯคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 190 ล้านบาท ได้หมดในปี 54 โดยจะมาจาก 2 ทาง คือ จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และการขายที่ดิน 600 ไร่ ซึ่งหากเจรจาขายที่ดินได้เร็ว ก็อาจจะล้างขาดทุนสะสมได้เร็วด้วย
ด้านกรณีของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ คือ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ(ช่อง 7 สี) ถือหุ้นใน บมจ.มีเดีย ออฟ มีเดียส์(MEDIAS) และทาง MEDIAS มีความประสงค์จะย้ายไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น นายรัตนชัย เชื่อว่า ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อบริษัทฯ แม้ว่าจะมีการทำธูรกิจอสังหาฯเหมือนกัน เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายนี้ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานของบริษัทฯ ซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับบมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์(LH) และ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์(QH) ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบุคคลคนเดียวกัน ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร