ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลบเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินในดูไบ หลังจากมีรายงานว่าบริษัท ดูไบ เวิล์ด ของรัฐบาลดูไบ เริ่มเจรจากับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้น และยอดขายบ้านที่แข็งแกร่งของสหรัฐได้กระตุ้นบรรยากาศการซื้อขายให้คึกคักขึ้นด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 126.74 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 10,471.58 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 13.23 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 1,108.86 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 31.21 จุด หรือ 1.46% ปิดที่ 2,175.81 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.13 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.19 พันล้านหุ้น
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจาก ดูไบ เวิล์ด ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทได้เริ่มเจรจากับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งครอบคลุมถึงตราสารหนี้อิสลามมูลค่าราว 3.6 พันล้านดอลลาร์ที่ออกโดยนาคีล เวิลด์ บริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้พัฒนาคฤหาสถ์หรูหราบนหมู่เกาะรูปต้นปาล์ม
กระแสความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินดูไบเริ่มคลี่คลายลงนับตั้งแต่ธนาคารกลางยูเออีจัดกองทุนกู้ยืมพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนชำระหนี้ของดูไบ เวิล์ด โดยธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ดูไบ เวิลด์ รวมถึงธนาคาร HSBC, ธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป, ธนาคารรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ และธนาคารบาร์เคลย์ส
ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) และสมาคมธนาคารแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บ่งชี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐที่ได้รับความเสียหายจากการลงทุนในยูเออี รวมถึงดูไบ มีอยู่เพียง 9.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับธนาคารในยุโรปที่ได้รับความเสียหายมากกว่าเกือบ 9 เท่า
นักลงทุนขานรับข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 3.7% แตะที่ 114.1 จุด ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน และปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 0.8%
การร่วงลงของสกุลเงินดอลลาร์ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้น โดยหุ้นอัลโค อิงค์ ปิดบวก 2.2% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแกน คอปเปอร์ แอนด์ โกลด์ ปิดพุ่ง 1.3% หุ้นชลัมเบอร์เกอร์ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ ดีดขึ้น 1.2%
ส่วนยอดขายบ้านที่ดีดตัวขึ้นช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านพุ่งขึ้นย โดยหุ้นเบเซอร์ โฮมส์ ยูเอสเอ ปิดบวก 3.7% และหุ้นพัลท์ โฮมส์ ปิดบวก 1.9%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานทั่วประเทศเดือนพ.ย. และเฟดจะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบัน ISM จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.
ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนต.ค.และกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนพ.ย. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะลดลง 120,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติที่ลดลงน้อยที่สุดในรอบ 2 ปี และคาดว่าอัตราว่างงานจะยืนอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 10.2% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในเดือนต.ค.