นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น(AMATA) กล่าวว่า บริษัทจะพยายามเพิ่มยอดขายที่ดินทั้งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครและอมตะซิตี้ให้กลับมาสู่ภาวะปกติที่มีสัดส่วนจากการขายที่ดิน 70% ส่วนอีก 30% จะมาจากรายได้การบริการ จากปีนี้ที่ถือว่าเป็นปีที่ผิดปกติจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอและสถานการณ์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนและไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงก็น่าจะทำให้ยอดขายที่ดินของบริษัทในปี 53 สูงกว่าปีนี้ที่ทำได้ประมาณ 300 ไร่ โดย 9 เดือนแรกของปี 52 มียอดขายแล้ว 121 ไร่ แต่หากการเมืองเลวร้ายก็อาจจะทำให้ขายไม่ได้หรือเป็นศูนย์เลยก็ได้
ปัจจุบัน บริษัทยังมีที่ดินเหลืออยู่ 1 หมื่นไร่ แบ่งเป็นที่ดินในอมตะนคร 6 พันไร่ และอมตะซิตี้ 4 พันไร่ ซึ่งบริษัทจะพยายามขายที่ดินให้มากขึ้น เนื่องจากการขายที่ดินจะให้อัตรากำไรขั้นต้น(GP)สูงถึง 50-60%
"เราอยากทำให้ปีหน้าการขายที่ดินของเรากลับมาปกติ และกลับมาทำ record ที่ 900-1 พันไร่อย่างปี 51 แต่ก็พูดยาก เพราะหากสถานการณ์การเมืองบ้าเลือด ก็อาจจะทำให้ขายไม่ได้ หรือเป็นศูนย์ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ลูกค้าก็ concern เหมือนกัน"นายวิบูลย์ กล่าว
นายวิบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีมาบตาพุด ส่วนตัวมองว่าเร็วเกินไปที่จะประเมินถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เพราะโครงการที่มาบพุดเป็นโครงการต้นน้ำ หากต้นน้ำแย่ พวกที่ทำธุรกิจปลายน้ำก็จะแย่ไปด้วย ซึ่งในส่วนของบริษัท มองว่าผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำในระยะสั้นคงจะยังไม่รุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีที่สุด และประเมินว่าในไตรมาส 1/53 คงจะชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร
สำหรับในส่วนของเศรษฐกิจโลก นายวิบูลย์ มองว่า ยังไม่ได้ดีมาก แต่ที่ดีขึ้นมาจากการอัดฉีดเงินของภาครัฐมากกว่า แต่จะชัดเจนกลางปี 53 เชื่อว่าต่างชาติที่จะเข้ามาซื้อที่ดินคงจะยังไม่ถอนการลงทุน แต่ก็มีบ้างที่ชะลอออกไป เพราะประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ประนีประนอม ซึ่งเทียบกับเพื่อนบ้านแล้วเราดีกว่า