ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (3 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการหดตัวลงอย่างหนักในเดือนพ.ย. ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มการฟื้นตัวของสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนพ.ย.ซึ่งสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์นี้ตามเวลาประเทศไทย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 86.53 จุด หรือ 0.83% ปิดที่ 10,366.15 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 9.32 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ 1,099.92 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 11.89 จุด หรือ 0.54% ปิดที่ 2,173.14 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.13 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.02 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงทันทีที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่าดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.หดตัวลงสู่ระดับ 48.7 จุด จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 50.6 จุด โดยดัชนีที่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคบริการ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จะอยู่ที่ระดับ 51.5 จุด
อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์สามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวันและบรรยากาศการซื้อขายเริ่มคึกคักขึ้นในช่วงท้าย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการในระหว่างว่างงานลดลง 5,000 ราย แตะระดับ 457,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
นักลงทุนจับตาดูรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) เดือนพ.ย.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะลดลง 120,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นสถิติที่ลดลงน้อยที่สุดในรอบ 2 ปี และคาดว่าอัตราว่างงานจะยืนอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 10.2% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในเดือนต.ค.
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ADP Employer Services เปิดเผยว่า ภาคเอกชนในสหรัฐลดการจ้างงานลง 169,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 155,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.ลดลงน้อยกว่าที่ลดลง 195,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาปิดบวก 0.7% หลังจากมีรายงานว่า แบงค์ ออฟ อเมริกา ผู้ปล่อยกู้รายใหญ่สุดในสหรัฐ เตรียมจ่ายเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์คืนรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารหลุดพ้นจากกฎการจ่ายค่าตอบแทนผู้บริหารที่เข้มงวดของรัฐบาล ซึ่งกำลังเป็นอุปสรรคต่อการเฟ้นหาผู้บริหารคนใหม่