นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)คาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 52 เนื่องจากความกังวลในปัญหาการเมืองที่ยังมีประเด็นต้องติดตาม และผลกระทบจากปัญหามาบตาพุดที่มีไปจนกว่าจะเห็นข้อสรุปที่เป็นแบบรูปธรรม
ตลท.พบว่าในเดือน พ.ย.52 นักลงทุนต่างประเทศกลับมาเป็นผู้ขายสุทธิครั้งแรกในรอบ 9 เดือนด้วยมูลค่าขายสุทธิกว่า 13,239 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมีบทบาทในตลาดหุ้นไทยแทนนักลงทุนต่างประเทศ โดยเป็นผู้ซื้อสุทธิ ขณะที่สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นเป็น 15.5% จาก 11.9% ในเดือนต.ค.
"ถ้าให้ผมมองการลงทุนของต่างชาติในช่วงนี้คงนิ่งและอาจเห็นการขายสุทธิไปถึงสิ้นปีเพราะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องความวิตกกังวลเป็นระยะๆที่เกิดขึ้นทั้งปัญหาการเมืองและมาบตาพุด และอีกส่วนก็อาจจะมีนักลงทุนต่างชาติบางส่วนที่ไม่ลงทุนแล้วเพราะเป็นช่วงใกล้ปลายปี"นายวิรไท กล่าว
หากพิจารณาปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ขณะนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการหันไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ เช่น อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งได้เปรียบจากความต่อเนื่องนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งได้ประโยชน์จากกิจการพลังงานในประเทศ
นอกจากนี้ ในเดือน พ.ย.52 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้นเพียงประมาณ 0.60% ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศฟิลิปปินส์ที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาถึง 4.70% ไต้หวัน 3.30% และ สิงค์โปร์ 3.10% ขณะที่เปรียบเทียบในช่วงเดือน ม.ค-พ.ย.52 ยังพบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาเพียง 53.1% ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ขึ้นมาถึง 78.2% ไต้หวัน 65.1% และฟิลิปปินส์ 62.6%
ตลท.สรุปภาพรวมการซื้อขายหลักกทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย.52 ค่อนข้างผันผวน ช่วงต้นเดือนได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค ทำให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นไปปิดสูงสุดของเดือนที่ 717.90 จุดในวันที่ 11 พ.ย.52 แต่ก็ปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ 3—4 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลปัญหามาบตาพุดและสถานการณ์ทางการเมือง
ณ สิ้นเดือน พ.ย.52 ดัชนี SET ปิดที่ 689.07 จุด เพิ่มขึ้น 0.56 %จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีตลาด mai ปรับตัวสูงขึ้นมาปิดที่ระดับ 212.01 จุด เพิ่มขึ้น 0.99% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดโดยรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 5,547,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.67 %จากสิ้นเดือน ต.ค.52
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า สัดส่วนการซื้อขายในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธุรกิจการเกษตรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การซื้อขายในกลุ่มธนาคารและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลง โดยสัดส่วนการซื้อขายในกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 27%ในเดือนก่อนหน้า เป็น 34% ในเดือน พ.ย.เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจการเกษตรที่ปรับตัวจาก 4% ในเดือนก่อนหน้า มาเป็น 6% ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงเล็กน้อยมาที่ 22%และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ลดลงมากที่สุดจาก 12%มาเหลือเพียง 7%
สำหรับการมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในเดือน พ.ย.52 มีมูลค่ารวม 398,035 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 18,954 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 26,073 ล้านบาท แม้ว่าจำนวนบัญชีที่มีการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่มูลค่าการซื้อขายต่อบัญชีปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า