ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี หลังจากที่ดัชนีแกว่งตัวผันผวนในการซื้อขายระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนยังส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความระมัดระวัง เพราะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินทั่วโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 51.08 จุด ปิดที่ 10,337.05 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เดินหน้า 4.01 จุด ปิดที่ 1,095.95 จุด และดัชนี Nasdaq สูงขึ้น 10.74 จุด ปิดที่ 2,183.73 จุด
ทั้งนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดค่อนข้างผันผวน ส่งผลให้ดัชนีดีดตัวขึ้นลงสลับไปมาระหว่างแดนบวกและแดนลบเกือบตลอดทั้งวัน ก่อนที่จะปิดพุ่งขึ้นได้สำเร็จในช่วงปิดตลาด ท่ามกลางแรงซื้อของหุ้นในกลุ่มการเงิน เทคโนโลยี และบริษัทด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มวัตถุดิบพื้นฐานที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการซื้อขายนั้น ตลาดยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากกรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard & Poor's ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปน รวมถึงการที่ฟิทช์ เรทติงส์ ปรับลดเครดิตของกรีซ โดยระบุว่ารัฐบาลชุดใหม่ของกรีซอาจไม่สามารถควบคุมหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นได้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้จุดกระแสคาดการณ์ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกอาจเผชิญกับอุปสรรค
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนได้ใช้โอกาสนี้เทขายหุ้นทำกำไร และปลีกตัวออกนอกตลาดในช่วงใกล้ถึงสิ้นปี ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหาลู่ทางเทขายหุ้นออกมา
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ดีขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์เผยว่า ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งของสหรัฐขยับขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. ซึ่งทำลายสถิติการร่วงลงต่อเนื่องนาน 13 เดือนและยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 0.5% และตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่า ยอดขายสินค้าภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนดังกล่าว ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 0.7%