นายสุรพล ขวัญใจธัญญา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป(CGS) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"เกี่ยวกับกระบวนการลดทุน เพิ่มทุน และแจกวอแรนต์ ว่า ทางบริษัทได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ CGS ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป จนกว่ากระบวนการลดทุนจะเสร็จสิ้น ซึ่งระยะเวลาในการถูกขึ้น SP จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค.ไปจนถึง 23 ธ.ค.2552 และหุ้น CGS ก็จะเปิดเทรดได้อีกครั้งในวันที่ 24 ธ.ค.เป็นต้นไป โดยบริษัทฯจะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ปลดเครื่องหมาย SP ในวันที่ 23 ธ.ค.2552 ส่วนการแจกวอแรนต์ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และหุ้นเพิ่มทุน คาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 2 ก.พ.2553
CGS จะลดทุนชำระของบริษัทโดยลดจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้นทุกราย (1 หุ้นเดิม เหลือ 0.8114635695 หุ้น) เพื่อนำไปลดขาดทุนสะสมของบริษัท และอนุมัติการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 4 หุ้นเดิม(ภายหลังการลดทุน) ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ รวมทั้งจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิโดยไม่คิดมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นที่จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตรา 1 หุ้นใหม่ ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ
"ในครึ่งแรกปีนี้บริษัทฯมีผลขาดทุนอยู่ แต่บริษัทฯก็มีผลกำไรในไตรมาส 3/52 จำนวน 112 ล้านบาท และหากไตรมาส 4/52 ยังมีผลกำไรดี ทำให้ผลประกอบการปีนี้เป็นบวกได้ บริษัทฯก็อาจจะมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ โดยบริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 60% ของกำไรสุทธิ"นายสุรพล กล่าว
รองประธานกรรมการบริหาร CGS กล่าวว่า การลดทุน-เพิ่มทุน-แจกวอแรนต์ ของบริษัทฯ เชื่อว่าจะไม่ถูก Dilution Effect เพราะบริษัทฯลดจำนวนหุ้นลง ทั้งนี้เมื่อลดทุนแล้ว 1 หุ้นจะหายไป 19% แต่เมื่อเพิ่มทุน 4 : 1 ก็จะกลับขึ้นมา 25% และยังได้วอแรนต์ฟรีอีกด้วย โดยหลังเพิ่มทุนแล้วคิดว่ามูลค่าทางบัญชี(Book Value)ของบริษัทฯ จะอยู่ที่ 1.04-1.05 บาท/หุ้น ซึ่งคาดว่าหลังปลดป้าย SP หุ้น CGS น่าจะปรับตัวขึ้น
"การดำเนินการแบบนี้ จะเป็นผลดีสำหรับงบการเงินของบริษัทฯ เพราะปี 52 บริษัทฯจะกลายเป็นกำไรสะสม จากเดิมที่มีผลขาดทุนสะสม และต่อไปก็มีสิทธิ์ที่จะจ่ายปันผลได้ด้วย อีกทั้งพวกบรรดากองทุนต่าง ๆ เมื่อเห็นว่าบริษัทฯไม่มีผลขาดทุนแล้ว และพื้นฐานก็ดีขึ้น ก็คงจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น"รองประธานกรรมการบริหาร CGS กล่าว
นายสุรพล กล่าวต่อว่า พื้นฐานของบริษัทฯในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น โดยส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ปัจจุบันมีถึง 4-5% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ 2-3% และจำนวนมาร์เก็ตติ้งก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 500 คน จากเดิมที่มีมาร์เก็ตติ้ง 300 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริษัทฯมีศักยภาพการทำกำไรดีมากขึ้น
ในส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ ในปีนี้(2552)ก็มีลูกค้า IPO เข้าเทรดในตลาดฯ 2 รายบริษัท และในปีหน้า(2553)ก็คาดว่าจะมีลูกค้า IPO ที่จะเข้าเทรดในตลาดฯประมาณ 4-5 รายบริษัท
ด้านสาขาของบริษัทฯ ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 50 สาขา เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มี 34 สาขา และภายในต้นปีหน้า(2553)คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 55 สาขา โดยจะมีการเปิดสาขาทั้งในกรุงเทพฯและปริมาณฑล รวมถึงต่างจังหวัดด้วย ซึ่ง CGS ถือได้ว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังสามารถสร้างผลกำไรได้ทุกสาขาด้วย
ล่าสุดเมื่อ 11.26 น. ราคาหุ้น CGS อยู่ที่ 1.07 บาท ลดลง 0.04 บาท(-3.60%)มูลค่าซื้อขาย 16.33 ล้านบาท