SPALI ตั้งเป้าปี 53 ทำยอดขาย 1.4 หมื่นลบ.จาก 1.3 หมื่นลบ.ในปี 52

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 11, 2009 12:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย(SPALI) กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 1.4 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีนี้ที่คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งแบบระมัดระวัง เนื่องจากมองว่ายังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของสภาพเศรษฐกิจ ที่แม้มองว่าจะดีขึ้นแล้วก็ตาม

ขณะที่ ยอดขายในปีนี้ถือว่าปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่เคยตั้งไว้ที่ 1-1.1 หมื่นล้านบาท โดย ณ ปลายเดือนพ.ย.บริษัทมียอดขายแล้ว 11,700 ล้านบาท ขณะที่รายได้ในปีหน้าเชื่อว่าจะไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 9 พันล้านบาท

ทั้งนี้ในปีหน้าบริษัทจะเปิดโครงการจำนวน 10-12 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 10 โครงการมีที่ดินแล้ว และที่เหลืออยู่ระหว่างหาที่ดินเพิ่มเติม

นายประทีป กล่าวว่า การเปิดโครงการใหม่ในปีหน้าจะหันไปเจาะโครงการในระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น ที่มีระดับราคา 6-10 ลบ ขึ้นไปในส่วนของโครงการแนวราบ ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมจะเน้นที่ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อขยายฐานลูกค้า

นอกจากนี้จะยังมีโครงการในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งในส่วนของ จ.เชียงใหม่ และจ.ภูเก็ต โดยในส่วนของจ.ภูเก็ตจะเปิดขายโครงการศุภาลัย ปาร์ค @ ดาวน์ ทาวน์ ภูเก็ต ในระหว่างวันที่ 19-20 ธ.ค.นี้ จำนวน 518 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังมองการเปิดโครงการที่ จ.เชียงใหม่เพิ่มเติมด้วย เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดที่เชียงใหม่จำนวน 2 โครงการ จากปัจจุบันที่มีโครงการในจ.ขอนแก่น จ.สระบุรีและ หาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการขายในต่างจังหวัดปีหน้าอยู่ที่ 10% ของยอดขายทั้งหมด จากปี 52 ที่มีสัดส่วนอยู่เพียง 8%

นายประทีป กล่าวต่อว่า บริษัทยังรุกไปยังโครงการคอนโดฯของบีโอไอ ด้วยซึ่งขณะนี้ได้มีการยื่นไปแล้ว 1 โครงการ และอยู่ระหว่างหาซื้อที่เพิ่มเติม ซึ่งทำให้คาดว่า จะเห็นโครงการบีโอไอในปี 53 ประมาณ 3-4 โครงการ ปัจจุบันถือว่า บริษัทมีความแข็งแก่งในเรื่องของเม็ดเงินและตัวบริษัท ทั้งกำไรที่เข้ามาจากการขายโครงการและยังมีกำไรอีก 400 กว่าล้านบาทในการขายหุ้นที่ซื้อคืน 120 ล้านหุ้น ซึ่งถือว่าเพียงพอในการขยายโครงการในอนาคต และจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้น

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศนั้น นายประทีป กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น เพราะมองว่าประเทศไทย ยังมีที่ดินในการขยายและพัฒนาโครงการได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการศึกษาไว้บ้าง โดยประเทศที่ศึกษา ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และอินเดีย คาดว่าเรื่องดังกล่าวคงใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ