นายณรงค์ จารุวจนะ กรรมการบริหาร บมจ.เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น(MSC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ปีหน้า (53) ตั้งเป้ายอดขายน่าจะกลับไปเติบโตเท่าปี 51 ที่ราว 5.4 พันล้านบาท คือเติบโต 10-15% จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้น่าจะใกล้เคียง 4.8-4.9 พันล้านบาท เพราะถึงปลายปียอดขายน่าจะลดจากปีที่แล้วไม่เกิน 10%
"ปีหน้าน่าจะกลับขึ้นไปให้โต 10-15% ก็ต้องมาไต่ระดับกันใหม่ จากเดิมปีนี้ plan ไว้ 6,000 ล้านบาทเพราะคิดว่ายังไม่มีวิกฤติ แต่พอมีวิกฤติยอดขายลดลงมา ก็ต้องมาค่อยๆ ขยับทีละปี" นายณรงค์ กล่าว
สำหรับงานปี 53 ส่วนใหญ่จะได้จากโครงการของรัฐบาลที่ผ่านมาทางพาร์ทเนอร์ และการปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อรองรับไมโครซอฟต์ วินโดว์ตัวใหม่ ซึ่งจะมีที่ลูกค้าจำเป็นต้องเปลี่ยนซอฟต์แวร์ ไลเซ่นส์ หรือ ปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม ก็จะหนุนรายได้พลิกดีขึ้นไปอีก
ส่วนเทคโนโลยี 3G ที่จะมาปีหน้าเราไม่ได้รับผลโดยตรงเพราะเป็นเรื่องของเทเลคอม แต่เราอยู่ในส่วนของคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่ก็คงจะมีงานต่อเนื่องจากกลุ่มเทเลคอมที่ต้องการปรับปรุงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล(storage)
นอกจากนั้น ลูกค้าที่เลื่อนลงทุนไปจากช่วงต้นปี 52 ตอนนี้ก็เริ่มกลับเข้ามาแล้วทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือกลุ่มผู้ประกอบการญี่ปุ่นก็เริ่มกลับเข้ามา แต่อาจจะตัดสินใจลงทุนอีกทีก็จะเป็นช่วงปลายปีนี้หรืออาจเป็นต้นปีหน้าไปเลย เพราะทุกคนก็กำลังรอดูว่าการเมืองเรียบร้อยหรือไม่ เศรษฐกิจจะดีจริงหรือไม่ โดยขณะนี้ก็เริ่มมีการแผนและสอบถามข้อมูลเข้ามา โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นองค์กร คอร์ปอเรท การศึกษา อุตสาหกรรมรถยนต์ และโรงพยาบาล แต่ตลาดโดยตรงของบริษัทคือภาคราชการ ซึ่งเราไม่ได้ทำเองแต่ขายผ่านบริษัทลูกและขายผ่านพาร์ทเนอร์อีกที
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทลูกทุกบริษัทสามารถทำกำไรได้และแนวโน้มก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าง บริษัท เมโทรคอนเนค ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นในปีนี้ก็เริ่มมีกำไรแล้ว และปีหน้าก็คิดว่าน่าจะทำได้ดีขึ้นไปอีก ซึ่งแต่เดิมบริษัทเน้นการขายตรง แต่พอเริ่มเปิดเมโทรคอนเนค ก็จะมีฐานลูกค้าที่วิ่งตลาดอื่นที่เมโทรฯไม่ได้ขาย ซื้อสินค้าไปขายต่ออีกที
"ที่เราจะขายได้เพิ่มขึ้นตอนนี้คือจากงบฯรัฐบาลที่เข้าสู่ภาคราชการต่างๆ ซึ่งเราก็ได้ตั้งบริษัทย่อยเมโทรคอนเนคที่ขายให้กับพวกพาร์ทเนอร์ที่ใช้เครื่องพวกนี้แล้ว แนวโน้มยอดขายก็ดีขึ้น งบฯของรัฐบาลก็จะกระตุ้นให้พวกภาครัฐมีการลงทุนมากขึ้น"นายณรงค์ กล่าว
การนำเสนอสินค้าในปีหน้า ในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ทางด้านคอมพิวเตอร์คงยังไม่มีเพิ่มเติม แต่กำลังพิจารณาสินค้าประเภทโซลูชั่นต่างๆในอุตสาหกรรม ทั้งการพัฒนาด้วยตัวเองและพาร์ทเนอร์ โดยคาดว่ารายได้ในส่วนนี้จะเกิดขึ้นประมาณต้นปี 53 ซึ่งบริษัทมีงบลงทุนปกติประมาณปีละ 20 ล้านบาท แต่หากมีธุรกิจต่อเนื่องที่ก่อให้เกิดรายได้ก็สามารถลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น มีการขายบริการเกี่ยวกับเรื่องแบ็คอัพข้อมูล ถ้าจำนวนลูกค้ามากขึ้นเราก็ต้องขยายงานเพิ่มขึ้น
นายณรงค์ กล่าวว่า สินค้าส่วนใหญ่ของบริษัท โดยเฉพาะประเภทคอมพิวเตอร์ จัดซื้อจากผู้ผลิตในประเทศ และนำเข้าซัพพลายบางตัวจากสิงคโปร์ จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะส่วนใหญ่จะทำปประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน(ฟอร์เวิร์ด)ไว้หมดแล้ว รวมทั้งจะมีการบริหารสต็อกให้เหมาะสม
"เรานำเข้ามาเท่าไรก็ fix ราคาเป็นต้นทุนไว้ทั้งหมด ไม่เสี่ยง เพราะฉะนั้นการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่กระทบกับเรา ขณะที่สต็อกสินค้าก็ไม่มาก เพราะถ้าเกิน 30 วันก็จะรีบเคลียร์ และสินค้าพวกนี้จะขายเป็นล็อตต่อล็อตตามคำสั่งลูกค้าไม่เหมือนก่อนหน้าที่ต้องสั่งซื้อเป็นพันตัว"นายณรงค์ กล่าว
*รายได้-กำไรปี 52 ลดลงจากปีก่อน ยืนยันจ่ายปันผลได้ตามนโยบาย
นายณรงค์ กล่าวว่า นอกจากรายได้ในปี 52 จะลดลงจากปีก่อนแล้ว ในแง่ของกำไรสุทธิคงจะน้อยกว่าปีที่แล้วที่ที่มีกำไร 137 ล้านบาท เนื่องจากในงวด 9 เดือนแรกก็มีกำไรต่ำกว่าปีที่แล้วประมาณ 40-50% โดยอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ลดลงมาเหลือประมาณ 13.5-14% จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 15% เพราะการแข่งขันรุนแรง เมื่อเกิดภาวะที่ทุกรายขายได้น้อยลง ก็มีการลดราคาแข่งขันกันและลูกค้าก็ขอต่อรองมากขึ้น
"ตอนนี้ลงมาเหลือ 13.5-14% จะกระทบกำไรปีนี้ 1% หรือประมาณ 40-50 ล้านบาท ก็ค่อนข้างเยอะแต่เราก็พยายามจะไปลดตัวค่าใช้จ่ายที่สามารถประหยัดได้ก็ประหยัด"
ส่วนปีหน้าบริษัทวางแผนอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 15% โดยกำไรจากฮาร์ดแวร์อาจจะลดลง แต่ก็จะเพิ่มทางด้านเซอร์วิสมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ฮาร์ดแวร์ เฉพาะคอมพิวเตอร์ อยู่ที่ 30% และซอฟต์แวร์เซอร์วิสอีกประมาณ 35% ที่เหลือเป็นซัพพลายและอื่น ๆ อีก 35%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตั้งแต่ไตรมาส 3/52 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น คาดว่าไตรมาส 4/52 ก็น่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 3/52 ที่มีกำไร 36.15 ล้านบาท เพราะลูกค้าในกลุ่มรถยนต์เริ่มเข้ามา คาดว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก โดยยอดขายในไตรมาส 4/52 คงจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/52 หรือดีขึ้นเล็กน้อย
"ไตรมาส 4 น่าจะดี เพราะส่วนใหญ่ครึ่งปีหลังยอดขายจะมากกว่าครึ่งปีแรก ปกติครึ่งหลังยอดขายประมาณ 55% ครึ่งแรก 45%"นายณรงค์ กล่าว
บริษัทยังคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลปีนี้ตามนโยบายหรือไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ เพราะผู้ถือหุ้นก็รอ แต่ปีนี้คงจะจ่ายได้ลดลงจากปี 51 ที่จ่ายในอัตรา 0.20 บาท/หุ้น เพราะมีกำไรลดลง
*ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน หลังพับแผนเดิม
นายณรงค์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนขายหุ้นเพิ่มทุน 119 ล้านหุ้นเมื่อปีก่อนที่พับแผนไปหลังจากหมดอายุไปเมื่อเดือน มิ.ย.52 เพราะช่วงที่เพิ่มทุนสถานการณ์โดยรวมยังไม่ดี คงก็ต้องรอคณะกรรมการพิจารณากันใหม่ว่าจะยกเลิกไปหรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่ขณะนี้ดูแล้วยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน
เดิมวัตถุประสงค์ที่บริษัทต้องการเพิ่มทุนเพราะต้องการที่จะได้พาร์ทเนอร์เข้ามาเสริมให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น แต่ถ้ายังไม่มีพาร์ทเนอร์เข้ามาก็คงต้องมาพิจารณาความจำเป็นกันอีกครั้ง เพราะด้วยโครงสร้างของเงินทุนบริษัทยังมีความแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องระดมทุนเข้ามาเพิ่มเติม ยกเว้นว่าหากช่วงต้นปี 53 มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนก็จะเสนอคณะกรรมการบริษัทตอนต้นปีอีกครั้ง หลังจากนั้นก็จะไปเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นตอนเดือน เม.ย.
"คิดว่ายังไม่ต้องเพิ่มทุนก็ได้ ซึ่งก็จะไม่กระทบแผนธุรกิจ เพราะเดิมถ้าเพิ่มก็เท่ากับว่าจะต้องมีธุรกิจใหม่เข้ามา และมีโครงการใช้เงินทุน แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาอุตฯต่างๆ ความต้องการสินค้าลดลง มาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4"นายณรงค์ กล่าว