นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเอสพี สตีล เซ็นเตอร์ (CSP) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บริษัทยังไม่ได้กลับมาเจรจากับพันธมิตรจากจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์เกี่ยวกับเหล็ก หลังชะลอออกไปจากเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจโลกเมื่อปีที่แล้ว คงจะต้องรอให้ฝ่ายพันธมิตรจีนพร้อมเข้ามาเจรจา
สำหรับการเจรจาที่ชะงักไปนั้น ได้มีการพูดคุยกันในเบื้องต้น บริษัทจะร่วมมือกับพันธมิตรจีนจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อแตกไลน์สินต้า และจะให้พันธมิตรจีนถือหุ้นบางส่วนของ CSP โดยพันธมิตรรจีนรายนี้มีแผนจะขยายโรงงานในไทยอยู่แล้วและมองหาพาร์ทเนอร์ ทั้งนี้ CSP เป็นผู้ซัพพลายหรือส่งสินค้าให้กับพันธมิตรรายนี้
"เราคุยกับพันธมิตรจากจีนมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้วที่จะร่วมมือกันตั้งบริษัท แต่ก็ยังไม่แน่นอน เพียงแต่แผนก็ต้องพับไป delay ไปก่อน เพราะเกิดมี crisis ขึ้นมา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คุย เพียงแต่ถามข่าวคราวหรือภาวะเศรษฐกิจทั่วไป ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องซื้อหุ้นเราหรือการร่วมมือกัน...ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเขา(พันธมิตรจีน)" นายวีรศักดิ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
เช้าวันนี้ CSP ชี้แจงรายงานข่าวกรณีไชน่า สตีลเข้าซื้อหุ้นบริษัทฯ มากถึงร้อยละ 49 ว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่มีการตกลงการซื้อหุ้นในเรื่องนี้
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า บริษัท ไชน่า สตีล จำกัด เป็นเพียงคู่ค้าที่บริษัทสั่งซื้อเหล็กม้วนนำเข้า ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศไต้หวัน แต่ไม่เคยไม่มีการพูดคุยเรื่องการเข้าถือหุ้นบริษัทเลย
"เป็นความเข้าใจผิดมากกว่า เพราะไม่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ โดยบริษัทเป็นผู้ซื้อสินค้าจากไชน่าสตีล ซึ่งเป็นบริษัทที่ไต้หวัน และซื้อขายสินค้าปกติ ผมก็ยังงงอยู่เหมือนกัน"นายวีรศักดิ์ กล่าว
นายวีรศักดิ์ ระบุว่า บริษัทไม่มีปัญหาเรื่องการเงินที่จำเป็นต้องหาพันธมิตรเข้ามาช่วยเหลือ และสภาพคล่องของบริษัทยังดีอยู่ รวมทั้งสถาบันการเงินก็ให้การสนับสนุนดีอยู่แล้ว แต่การที่บริษัทหาพันธมิตร เพราะต้องการให้เข้ามาช่วยเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจที่จะสามารถแตกไลน์สินค้ามากขึ้น
"เราคงไม่ต้องการพันธมิตรเรื่องการเงิน เพราะฉะนั้น ก็จะไม่มีผลกระทบว่าถ้าเราไม่มีพันธมิตร บริษัทจะแย่ ไม่มีอย่างนั้น ผมมองว่าหาพันธมิตรเพื่อให้เราโตชึ้น เพื่อเพิ่มยอดขาย เพิ่ม product line มากกว่า"กรรมการผู้จัดการ CSP กล่าว
พร้อม ยืนยันว่า ปัจจุบัน กลุ่มตระกูลชัยสุพัฒน์ยังถือหุ้นใหญ่ CSP เกินกว่าครึ่ง และเป็นผู้บริหารอยู่ด้วย คงไม่ทิ้งหุ้นหรือขายหุ้นออกไปแต่อย่างใด
สำหรับผลประกอบการในปี 52 นายวีรศักดิ์ คาดว่ารายได้จะทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่เคยคาดไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกผลประกอบการไม่ค่อยดี แต่ครึ่งปีหลังสะท้อนกลับมาดีขึ้น ทั้งปีก็น่าพอใจ
และในปี 53 คาดว่าผลประกอบการน่าจะดีขึ้น ภาวะธุรกิจน่าจะสดใสจากการที่ภาครัฐได้มีงบไทยเข้มแข็งที่จะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กในประเทศ