นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) หรือ SLC คาดว่าในปี 53 บริษัทจะสามารถพลิกเป็นกำไรได้ จาก 9 เดือนในปี 52 มีผลขาดทุน 13.8 ล้านบาท เนื่องจากได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยหันมาเพิ่มธุรกิจนิวมีเดียมากขึ้น และมองว่ารายได้จากธุรกิจนิวมีเดียจะกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักที่จะทยอยทำรายได้เพิ่มมากขึ้นในปี 54 หรือคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้รวม
ขณะที่ธุรกิจซอฟท์แวร์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักในปัจจุบันนั้น บริษัทก็ไม่มีแผนจะปรับเปลี่ยนหรือทิ้งไป แต่จะนำมาพัฒนาให้ใช้ร่วมกับธุรกิจนิวมีเดีย ซึ่งหลังจากนี้ธุรกิจซอฟท์แวร์เป็นรายได้เสริมแทน แต่ในอนาคตก็ยังจะมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้รวมเช่นกัน ส่วนธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการ 3-4 ดีล คาดว่าจะมีข้อสรุปเลือกเข้าไปเทคฯรายใดภายในปี 53
"ธุรกิจนิวเมีเดีย จะทำลักษณะมีพาร์ทเนอร์ 1-2 ราย ตอนนี้เราอยู่ระหว่างคุย แต่รูปแบบคงจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุน ซึ่งคงจะใช้เงินลงทุนรวม 20 ล้านบาท ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเข้าไปเทกโอเวอร์ สื่อสิ่งพิมพ์ ที่ใช้เงินเยอะกว่า" นายอารักษ์ กล่าว
นายอารักษ์ กล่าวว่า ในปี 53 รายได้จะเติบโตจากธุรกิจซอฟท์แวร์เป็นหลัก ซึ่งคาดว่ารายได้ในส่วนนี้จะเติบโต 20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้จากซอฟท์แวร์ 70 ล้านบาท ส่วนธุรกิจนิวมีเดีย ยังประเมินได้ยาก เพราะเพิ่งปรับโครงสร้างธุรกิจ แต่จะค่อยๆเห็น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากในอนาคต เนื่องจากธุรกิจนิวมีเดียให้ความสำคัญทั้งภาพและเสียง การพิมพ์ และซอฟท์แวร์สำเร็จรูป ได้แก่ Digital Media, Multimedia, Multi Channel เป็นต้น
ส่วนเงินลงทุนในปี 53 บริษัทมีแผนใช้เงินประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยเน้นใช้ขยายธุรกิจนิวมีเดีย
นายอารักษ์ กล่าวถึงแผนการออกใบสำคัญแสดงสิทธิเพื่อซื้อหุ้นสามัญ(วอแรนต์) และ ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้(TSR) ว่า ในช่วงปลายเดือน ก.พ.53 จะสามารถจะเข้าเทรดได้ หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 ม.ค.53 มีมติอนุมัติ ซึ่งในส่วน TSR จำนวน 250 ล้านเหน่วย เป็นการเปิด option ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยกำหนดระยะเวลาใช้สิทธิ 2 เดือน แต่หากไม่ใช้สิทธิดังกล่าว ก็ต้องใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในราคา 4 บาทต่อหุ้น เพื่อรองรับการลงทุน
อนึ่ง เช้านี้บริษัทแจ้งวาคณะกรรมการบริษัทอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 50 ล้านบาทเป็น 325 ล้านบาท โดยออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 275 ล้านหุ้น โดยจัดสรรหุ้นสามัญจำนวน 25 ล้านหุ้นเพื่อรองรับการใช้สิทธิวอแรนต์จำนวน 25 ล้านหน่วย และ จัดสรรหุ้นสามัญจำนวน 250 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิ TSR จำนวน 275 ล้านหน่วย