นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับปี 53 ลีสซิ่งกสิกรไทยตั้งเป้าหมายมียอดสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 33,900 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 52 ประมาณ 12% พร้อมตั้งเป้าหมายสินเชื่อคงค้างในระบบเพิ่มขึ้น 21% หรือมีมูลค่ารวมราว 52,000 ล้านบาท
การขยายตัวของสินเชื่อใหม่ในปีหน้าจะมาจากการให้สินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กสิกรไทย(K-Auto Finance) สินเชื่อรถยนต์เพื่อเงินสดกสิกรไทย (K-CAR to CASH) สินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงินกสิกรไทย (K-Financial Lease) คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 25,180 ล้านบาท และการเพิ่มยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถ ผ่านบริการสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (K-Dealer Floorplan) เป็น 8,780 ล้านบาท
"บริษัทพร้อมที่จะก้าวสู่ปีที่ 5 อย่างแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยตนเองโดยการให้บริการแบบครบวงจร ภายใต้การทำงานแบบเครือธนาคารกสิกรไทย โดยที่ผ่านมาตลอด 4 ปี บริษัทฯมีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี"นายอิสระ กล่าว
บริษัทมีแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยผ่านการ Bundling, Cross Selling และ Up Selling เพื่อให้บริการทางการเงินที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มมากที่สุด และสร้างความเชื่อมั่นและพึงพอใจในบริการผ่านผลิตภัณฑ์อันหลากหลายแก่ลูกค้า และยังมีโครงการเปิดศูนย์บริการธุรกิจเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง คือที่ จ.นครราชสีมา และ จ.อุดรธานี จากปัจจุบันที่มีศูนย์บริการธุรกิจ 15 แห่ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 5 แห่งและต่างจังหวัดอีก 10 แห่ง
บริษัท ฯ ยังให้ความสำคัญในการให้องค์ความรู้ (Non-Financial Service) เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้อย่างครบวงจรเกี่ยวกับรถยนต์ผ่านเว็บไซต์ K Auto Smiles Club ภายใต้ปรัญชาในการดำเนินธุรกิจ K NOW เพื่อตอบสนองกับไลฟสไตล์ของลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่
นายอิสระ กล่าวว่า บริษัทยังคงให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจโดยตั้งใจเป็นบริษัทที่ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ชั้นนำที่เน้นพัฒนาคุณลักษณะที่มีคุณค่าและมอบสิทธิประโยชน์อันสูงสุดทางด้านบริการการเงินแบบครบวงจรต่อลูกค้า ผ่านการปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยในปี 53 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมียอดขายรถยนต์ในประเทศจะขยายตัว 7-11% จากปี 52
ทั้งนี้แม้ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศปี 52 โดยรวมจะหดตัวลงประมาณ 13% จากปีก่อนแต่จากผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาในภาพรวมยังมีความเติบโต ซึ่งเป็นผลจากการใช้กลยุทธ์ในการบริหารและปรับปรุงกระบวนการให้บริการสินเชื่อเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง รวมทั้งมีการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับบริษัทผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งเป็นคู่ค้าทางธุรกิจอย่างเนื่อง
ดังนั้น จึงทำให้บริษัท ฯ มียอดปล่อยสินเชื่อรวมที่ 27,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ถึง.12.60% โดยในจำนวนนี้เป็นยอดสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่ง (Hire Purchase Fleet) จำนวน 20,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 24% และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 13%
ส่วนยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan)ในปีนี้อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 11.88 % และต่ำกว่าเป้าหมาย 23 % ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว และสอดคล้องกับภาพรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีการหดตัวลงดังกล่าว
สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 42,300 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อที่ไม่เกิดให้ก่อรายได้ (NPL) อยู่ที่เพียง 1.60% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนผลกำไรสุทธิมีมูลค่าสูงกว่า 200 ล้านบาท และมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ไม่น้อยกว่า 238 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 52 คาดว่าบริษัทจะสามารถมีผลกำไรถึง 246 ล้านบาท ขยายตัวแบบก้าวกระโดดจากปี 51 ที่มีผลกำไร 20 ล้านบาท แม้จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อได้เกินกว่าเป้าหมาย และ NPL อยู่ในระดับต่ำ ส่วนปี 53 บริษัทได้วางเป้าหมายที่จะมีผลกำไร 332 ล้านบาท ส่วน NPL จะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่อยู่ 1.6% มาอยู่ที่ 2.2%
"ปี 53 เรายังตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยจะเน้นตลาดรถยนต์ปิกอัพมากขึ้นจากปัจจุบัน ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรถยนต์นั่ง 70-80% และปิกอัพที่ 20% แต่ต้องยอมรับว่าตลาดปิกอัพจะขยายตัวมากขึ้น แต่มีโอกาสเกิด NPLเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อจะมีรายได้ไม่แน่นอน แต่เราก็มองว่ายังทำกำไรได้ เพราะจะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่ารถยนต์นั่ง ก็ถือว่าเฉลี่ยกันไปได้" นายอิสระ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากคณะกรรมการ เพื่อออกโปรแกรมแก้ไขหนี้เสีย ซึ่งจะเริ่มใช้ได้ในต้นปี 53 ทันที โดยจะมีรูปแบบการแก้ปัญหาและปรับโครงสร้างหนี้เสียแก่ลูกค้าที่เกิดปัญหา NPL ทั้งการขยายเวลาชำระคืน การประนอมหนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดปัญหา NPL ของบริษัทได้อีกทาง
สำหรับการแข่งขันธุรกิจเช่าซื้อ ลิสซิ่งในปี 53 ยอมรับว่า ยังมีการแข่งขันกันรุนแรงต่อไป โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา แต่ในส่วนของบริษัทคงจะไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แม้จะดำเนินนการได้เนื่องจากความได้เปรียบที่มีธนาคารแม่อยู่ก็ตาม แต่เห็นว่าหากแข่งขันด้านราคาจะไม่คุ้มต้นทุนทางธุรกิจ และคงไม่เกิดผลดีต่อผู้ถือหุ้น
ดังนั้นกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทในปี 53 จะไม่มีการเข้าซื้อพอร์ตสินเชื่อจากที่อื่นมาบริหาร แต่จะเน้นการเติบโตด้วยตนเอง ซึ่งการที่บริษัทปล่อยสินเชื่อได้เองจะทำให้สามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดี ลดปัญหาหนี้เสีย ขณะเดียวกันจะเน้นการร่วมมือทำงานกับธุรกิจในเครือทั้งหมด เพื่อร่วมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังจัดงบกว่า 30 ล้านบาทเพื่อใช้ด้านการตลาดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และภาพลักษณ์ของบริษัทมากขึ้น
"เราไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา เราไม่ดัมพ์ เพราะไม่คุ้มต้นทุน และคงไม่เป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น แต่จะทำให้ลูกค้าได้บริการที่ดี ตอบโจทย์ที่ต้องการของลูกค้ามากขึ้น" นายอิสระ กล่าว