นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 53 มองว่าตลาดยังคงเป็นขาขึ้น แต่คงจะไม่ปรับตัวมาก เนื่องจากยังมีความผันผวนจากปัจจัยที่กดดันต่อการการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ ทั้งในเรื่องของความกังวลเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะทำให้ในช่วงไตรมาส 1/53 และไตรมาส 2/53 มีความผันผวนสูง โดยหากอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น 1% ดัชนีตลาดหุ้นก็มีโอกาสปรับลง 15%
รวมถึงปัจจัยเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 1/53 ค่าเงินดอลลาร์อาจจะอ่อนค่า และไตรมาสที่เหลือมีโอกาสจะแข็งค่าต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าวที่ยังมีความเสี่ยงสูง ทำให้มอง SET Index ปีหน้ามีโอกาสปรับลงต่ำสุดที่ 530 จุด และมีโอกาสที่จะปรับไปสูงสุดที่ 880 จุด จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 750 จุด และปี 53 กำไรต่อหุ้น(EPS)ของบริษัทจดทะเบียนจะสูงขึ้นเป็น 67 บาท/หุ้น จาก 55 บาท/หุ้นในปี 52
นายสุกิจ กล่าวว่า ในปี 53 อยากให้นักลงทุนมองตัวหุ้นมากกว่าภาพรวมตลาด โดยจะได้เห็นผู้แพ้และผู้ชนะจากการบริหารตัวเองในปี 52 ซึ่งผู้ชนะจะเป็นหุ้นบลูชิพที่มีการวางแผนเรื่องเงินทุนรองรับไว้แล้ว ขณะที่ผู้แพ้จะเป็นผู้ที่มีปัญหาสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก
"ในปีหน้านักลงทุนควรมอง return ที่จับต้องได้ หุ้นที่มี dividend หรือพันธบัตรที่เห็นดอกเบี้ยชัดเจน...ปีหน้าเป็นปีของ dividend stock ที่แท้จริง ได้แก่ กลุ่มบันเทิง เกษตร อาหาร และบริษัทจดทะเบียนใน mai" นายสุกิจ กล่าว
ประเด็นการลงทุนในปีหน้ามี 2 ประเด็น คือ โครงการไทยเข้มแข็ง ที่ตอนนี้กระแสเริ่มเข้ามาแล้วและจะหมดในไตรมาส 1/53 มีผลให้กลุ่มที่รับผลประโยชน์ในช่วงนี้ ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก แต่หลังจากไตรมาส 1/53 ไปแล้วจะมีเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นตามมา ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปยังอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปด้วย โดยมองว่าการปรับขึ้นอัตราอัตราดอกเบี้ยจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อขาขึ้น ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล อาหาร โรงแรม ค้าปลีก และ พลังงาน
นายสุกิจ กล่าวว่า ในปีหน้าก็มีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยเรื่องการเมืองที่ต้องมีความชัดเจน เพื่อทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาลงทุน
"สำหรับปีนี้ถือว่าต่างชาติถือว่าเข้ามาลงทุนน้อยมากสุทธิ 4-5 หมื่ล้านบาท โดยปรับการลงทุนไปไต้หวัน และเกาหลีแทน" นายสุกิจ กล่าว
พร้อมระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบ 2 จะยากขึ้น เพราะสหรัฐฯ และยุโรป ยังมีความเสี่ยงจากหนี้ที่สูง แต่การขับเคลื่อนในประเทศไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ จากการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐ