นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) เปิดเผยว่า กระบวนการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือบมจ.ปตท.คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.53 เกี่ยวกับรูปแบบการควบรวมกิจการ โดยขณะนี้คงต้องรอให้ปัญหามาบตาพุดคลี่คลายลงก่อนเพื่อเพิ่มมูลค่าในการควบรวมกิจการ และให้นักลงทุนคลายความกังวล
บริษัทในเครือ ปตท.ที่มีแนวคิดจะควบรวมกิจการกัน ได้แก่ PTTAR , บมจ. ปตท.เคมีคอล (PTTCH), บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC)
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการควบรวมกิจการในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นของเครือ ปตท. จะสร้างประโยชน์ให้บริษัทและผู้ถือหุ้น ซึ่งขณะนี้การประเมินประโยชน์ที่จะได้หลังการควบรวมกิจการ โดยบริษัท แมคเคนซี ในฐานะที่ปรึกษาได้ดำเนินการเสร็จแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินด้านเทคนิคในการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ร่วมกัน โดยทางเชลล์ คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1-2 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ
"เชื่อว่าการควบรวมกิจการจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่ม ปตท.แต่ต้องรอปัญหามาบตาพุดให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะดำเนินการได้ หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในเดือน มี.ค.-เม.ย.ปีหน้า ก็ต้องใช้เวลากว่าจะควบรวมแล้วเสร็จอีกอย่างน้อย 6 เดือนตามกระบวนการของตลาดหลักทรัพย์ แต่ยืนยันแม้มีปัญหาเรื่องฟ้องร้อง เราก็ยังคงเดินหน้าศึกษาแผนการควบรวม ไม่มีการพับแผนไปแต่อย่างใด"นายชายน้อย กล่าว
นายชายน้อย กล่าวอีกว่า แม้การดำเนินธุรกิจของบริษัทจะไม่ดีนัก แต่จากการการควบรวมกับ บมจ. ปิโตรเคมีแห่งชาติ(NPC) ตั้งแต่ในอดีต ทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันในลักษณะได้เปรียบ เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมียังดีอยู่ โดยคาดว่าปี 53 ค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM)น่าจะดีกว่าปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 6-7 เหรียญฯ/บาร์เรล โดยราคาเบนซีนและพาราไซลีนยังมีส่วนต่างราคาที่ดีอยู่
ส่วนธุรกิจโรงกลั่นคงจะยังไม่ดีนัก แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวและความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น หวังว่าค่าการกลั่นจะดีขึ้นตาม จากปัจจุบันที่ค่าการกลั่น(GRM)อยู่ในระดับ 3.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้ ในปี 53 บริษัทมีการลงทุน 200-300 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนใหญ่ๆ มาแล้ว เหลือเพียงโครงการลงทุนต่อเนื่อง และโครงการยกระดับคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ซึ่งไม่น่าจะต้องใช้เงินลงทุนมากนัก