ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 1.67 จุดขณะวอลุ่มบางเบา เหตุนลท.ชะลอเทรดปลายปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 30, 2009 06:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) แม้สหรัฐเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและราคาบ้านใน 20 เขตเมืองที่เพิ่มขึ้นก็ตาม โดยวอลุ่มการซื้อขายในตลาดมีอยู่เพียงบางเบาเนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากปลีกตัวออกไปอยู่นอกตลาดในช่วงสิ้นปี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับลง 1.67 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 10,545.41 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.58 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 1,126.20 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับลง 2.68 จุด หรือ 0.12% ปิดที่ 2,288.40 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่เพียง 638 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบปีนี้

นักวิเคราะห์จากบริษัท แพลนท์ มอแรน ไฟแนนเชียล แอดไวเซอร์สกล่าวว่า ในช่วงเช้านั้นตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานคอนเฟอร์เรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 52.9 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ 49.5 จุด แต่ในช่วงสาย ตลาดเริ่มอ่อนแรงลงหลังจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลงด้วย

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนหลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส-ชิลเลอร์ เปิดเผยราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ของสหรัฐดีดขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะร่วงลง 7.2%

นักวิเคราะห์กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างเงียบเหงา ขณะที่วอลุ่มมีอยู่เพียงบางเบา เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากปลีกตัวออกไปอยู่นอกตลาดในช่วงสิ้นปี

หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่สุดของโลก ดีดขึ้ 0.5% ขณะที่หุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งเป็น ผู้ผลิตไอพ็อดและไอโฟน ร่วงลง 1.2% หลังจากบริษัทโนเกีย คอร์ปของฟินแลนด์ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านสิทธิบัตรระหว่างโนเกียและแอปเปิล

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตรา 3.5% ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นสถิติที่ขยายตัวได้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย ขณะเดียวกันคาดว่าภาคเอกชนของสหรัฐจะเพิ่มอัตราการลงทุนและการจ้างงาน นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กและรายได้ส่วนบุคคล จะช่วยกระตุ้นชาวอเมริกันให้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ภาคเอกชนเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าเข้าสู่สต็อกเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในปีหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ