ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 100 จุดในการซื้อขายวันสุดท้ายของปีพ.ศ.2552 (31 ธ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากวอลุ่มการซื้อขายที่บางเบา เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากชะลอการซื้อขายก่อนที่ตลาดจะปิดทำการในวันที่ 1 ม.ค.2553 เนื่องในวันปีใหม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 120.46 จุด หรือ 1.1% ปิดที่ 10,428.05 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 11.32 จุด หรือ 1% ปิดที่ 1,115.10 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 22.13 จุด หรือ 1% ปิดที่ 2,269.15 จุด
หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา ดัชดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1,651.66 จุด หรือ 18.8% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 211.85 จุด หรือ 23.5% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 696.12 จุด หรือ 43.9%
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ธ.ค.มาจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะตัวเลขชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกร่วงลง 28,000 คน แตะระดับ 452,000 คนในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งลดลงมากว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ที่ระดับ 470,000 คน และบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฟื้นตัวขึ้นแล้ว
ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.ดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.6% ในเดือนต.ค. นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 52.9 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ 49.5 จุด เนื่องจากชาวอเมริกันมีความวิตกกังวลน้อยลงเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของเศรษฐกิจ และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2553
ส่วนภาวะการซื้อขายในปี 2553 นั้น นักวิเคราะห์คาดว่านักลงทุนจะจับตาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนและตัวเลขจ้างงาน เพื่อกำหนดว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กจะยังคงเคลื่อนตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไปในปีหน้าหรือไม่
ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 1 ม.ค.2553 เนื่องในวันปีใหม่