นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 5.00 บาท เป็น หุ้นละ 1.00 บาท และอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากเดิมจำนวน 624,868,555 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน749,868,555 บาท แบ่งออกเป็น 749,868,555 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพตามใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2 หรือ CEN-W2 ที่จะให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น
โดยหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยไม่คิดมูลค่า (ในกรณีที่มีเศษให้ปัดเศษทิ้ง) ที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นในวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ซึ่งบริษัทได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Record Date) ในวันที่ 14 ม.ค.53 และ ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 15 ม.ค.53
สำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2 หรือ CEN-W2 เป็นชนิดระบุชื่อผู้ถือและโอนเปลี่ยนมือได้ มีอายุ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกและเสนอขาย โดยมีอัตราใช้สิทธิ คือใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น (อาจเปลี่ยนแปลงในภายหลังตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ) และราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิจะเท่ากับ 2.20 บาทต่อหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ1.00 บาท) (อาจเปลี่ยนแปลงในภายหลังตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ)
ส่วนวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน ในครั้งนี้เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และมีเป้าหมายเพื่อนำเงินที่ได้มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท เพื่อใช้ในการขยายกิจการในอนาคต และ/หรือ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของบริษัท
"บริษัทจะได้รับการเพิ่มทุนเพื่อเป็นการขยายฐานเงินทุนของบริษัท และรองรับการขยายกิจการในอนาคต ซึ่งเราคาดหวังว่าจะเป็นฐานให้กับการขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว" นายวุฒิชัย กล่าว
นายวุฒิชัย กล่าวอีกว่าในปี 53 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 2,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% จากปีนี้ที่คาดทำได้ 1,600 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทลูก ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด, บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็นเนซอล จำกัด มีผลประกอบการที่ดีขึ้น