นายเกรียงไกร เลิศศิริสัมพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการสายบัญชีการเงินและบริหารสำนักงาน บมจ.โปรเฟสชั่นแนล เวสต์ เทคโนโลยี(1999)(PRO)เปิดเผยกับ“อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการกำจัดขยะในประเทศมาเลเซีย โดยเพิ่งมีการลงนามในบันทึกความร่วมมือเบื้องต้น(MOU)กับพันธมิตรต่างประเทศไปในช่วงก่อนสิ้นปี 52 ซึ่งจะเป็นการจัดการแบบหลุมฝังกลบ และน่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
"ที่มาเลเซียเป็นสัมปทานใหม่ 10-20 ปี โครงการนี้มีที่ดินเป็นหลุมอยู่แล้วเราก็เข้าไปฟื้นฟูให้ถูกต้องตามมาตรฐานโดยการปรับหลุมฝังกลบเดิม ปีนี้น่าจะได้เห็น แต่รายได้จากโครงการนี้ยังไม่แน่นอน ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้น"นายเกรียงไกร กล่าว
การดำเนินโครงการดังกล่าวอาจจะทำให้บริษัทต้องใช้เงินจากการเพิ่มทุน ส่วนจะต้องใช้เม็ดเงินเท่าใดและจะเป็นลักษณะการร่วมทุนหรือรูปแบบไหนยังไม่มีข้อสรุป แต่เป็นไปได้มากที่บริษัทจะเข้าไปลงทุนเอง โดยรับช่วงงานต่อมาจากพันธมิตรที่เข้าไปรับสัมปทานกำจัดขยะ ซึ่งขณะนี้มี 2 โครงการ คือ โครงการจัดการหลุมฝังกลบ และ โครงการนำขยะมาผลิตกระแสไฟฟ้าและฝังกลบขยะที่เหลือ ทั้ง 2 โครงการมีปริมาณขยะหลัก 100 ตัน/วัน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างกระบวนการลดทุนจดทะเบียนเพื่อลดขาดทุนสะสมและการเพิ่มทุนจดทะเบียน คาดว่าจะมีการกำหนดราคาขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอีก 1-2 เดือนจากนี้ หลังจากที่ได้รับอนุมัติดำเนินการจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
อนึ่ง บริษัทจะลดราคาพาร์จากหุ้นละ 1 บาท เหลือ 0.70 บาท เพื่อลดขาดทุนสะสม โดย ณ 30 ก.ย.52 บริษัทมีผลขาดทุนสะสมอยู่จำนวน 467,734,731.85 บาท ดังนั้น เมื่อนำทุนสำรองตามกฎหมาย6,974,025.91 บาท และทุนส่วนที่เกิดจากส่วนเกินมูลค่าหุ้น จำนวน 138,800,000 บาท บริษัทจะมียอดขาดทุนสะสมคงเหลือ 321,960,705.94 บาท
จากนั้นบริษัทจะเพิ่มทุนจดทะเบียน ไม่เกิน 1,625 ล้านหุ้น จัดสรร 750 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 3 หุ้นใหม่ และจัดสรรส่วนที่เหลือเสนอขายผู้ลงทุน 3 ราย ได้แก่ Asean China Investment Fund L.P.ไม่เกิน 175,690,625 หุ้น,Portchester Asset Management Ltd ไม่เกิน 119,462,500 หุ้น และ Madam Leow Lay Choo ไม่เกิน 77,484,375 หุ้น
นอกจากนั้นจะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 875 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อ หุ้นสามัญของบริษัทที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือเดิม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า หากได้เงินจากการเพิ่มทุนตามเป้าหมายเต็มจำนวน ก็จะมีเงินทุนเพื่อใช้ขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยจะเน้นไปที่โครงการหลักที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี รวมทั้งโครงการแปรรูปอลูมิเนียมของบริษัทย่อย คือ บริษัท เจทีเอส อลูมิเนียม ที่มองว่าเมื่ออุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัว คำสั่งซื้อก็จะกลับเข้ามาด้วย
ส่วนโครงการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงก็ยังคงชะลอไว้ก่อน เพราะก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันตกต่ำ ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่จะเข้ามาสนับสนุนในลักษณะเงินอุดหนุน(Adder)ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้บริษัทไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนในการดำเนินโครงการได้
“ราคาน้ำมันตกลงมา 30-40 เหรียญฯ/บาร์เรลนับตั้งแต่ศึกษาโครงการ แน่นอนว่าคงจะกลับมาทำเมื่อถึงเวลา ถ้าโครงการนี้จะมีกำไร ราคาน้ำมันต้อง 80 กว่าเหรียญฯ/บาร์เรลขึ้นไป แต่ถ้านโยบายภาครัฐยังไม่ออกก็อาจจะชะลอไปก่อน แต่ถ้าจะทำก็ทำได้แต่กำไรจะน้อย"นายเกรียงไกร กล่าว
รองกรรมการผู้จัดการ PRO ยังเปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมที่ 400 ล้านบาท มาจากโครงการเดิม (ไม่รวมโครงการใหม่ต่างประเทศ) ซึ่งจะเติบโตจากปี 52 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 300 ล้านบาท และในแง่ของกำไรปีนี้คิดว่าคงจะมีกำไรอยู่บ้าง จากปี 52 ที่ผลประกอบการจะออกมาเป็นขาดทุนสุทธิกว่า 300 กว่าล้านบาท เพราะมีการตั้งสำรองสินทรัพย์ด้อยค่าไปมากโดยเฉพาะในไตรมาส 1/52
อนึ่ง งวด 9 เดือนมีผลขาดทุน 356 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนจากการด้อยค่า
“ปี 52 คงจะขาดทุน แต่ยอดขายเกือบได้ตามเป้าที่ 300 ล้านบาท" นายเกรียงไกร กล่าว