นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สตีล อินเตอร์เทค(STEEL)คาดว่ากระบวนการควบรวมกิจการกับ บริษัท โซล่าร์ เพาเวอร์ จะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 53 โดยหลังจากนี้จะมีการหารือกับที่ปรึกษาการเงิน(FA)เพื่อทำ ดิว ดิลิเจนซ์ และในเดือน ก.พ.จะเสนอคณะกรรมการ STEEL เพื่อขออนุมัติ
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้วิธีสวอปหุ้นระหว่าง STEEL กับ โซล่าร์ เพาเวอร์ ส่วนจะใช้สัดส่วนเท่าไรยังไม่ได้ข้อสรุป แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากสวอปหุ้น บริษัท โซล่าร์ เพาเวอร์ จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และธุรกิจหลักจะมาจากธุรกิจพลังงาน ทั้งโซล่าร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
แต่ธุรกิจเดิมของ STEEL ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยังสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ โดยในปี 53 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% จากปี 52 และในอนาคตก็จะมีรายได้ของโซล่าร์ เพาเวอร์เข้ามาในไตรมาส 3/53 หลังจากที่ โซล่าร์ เพาเวอร์ ได้เริ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานจากแสงอาทิตย์ ที่คาดว่าจะเห็น 1 โรงในเดือน มี.ค.53 กำลังการผลิตขนาด 6 เมกะวัตต์
"การที่เราสวอปหุ้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ดี และคิดว่าผู้ถือหุ้นน่าจะแฮปปี้ แม้สัดส่วนการถือหุ้นจะเปลี่ยนไป ผมก็ยอม เพราะรายได้จากโซล่าร์ เพาเวอร์จะให้ผลตอบแทนที่ดี และเป็นธุรกิจที่มีอนาคต"นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้านนางสาววันดี กุญชรยาคง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซล่าร์ เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าภายในเดือนมี.ค.53 จะเห็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาท และคาดว่าจะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 34 โรง มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 200 เมกกะวัตต์ ภายใน 4 ปีข้างหน้า(53-56) คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท
"ธุรกิจไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เป็นการลงทุนที่สำคัญของประเทศ และช่วยลดภาวะโลกร้อน อีกทั้งส่งขายไฟให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและไม่มีค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับพลังงานประเทศอื่น จึงถือว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ปลอดภัย"นางสาววันดี กล่าว
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีรายได้ต่อโรง 100 ล้านบาท โดยการได้รับการสนับสนุนการซื้อไฟฟ้า(adder)จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ที่ราคา 8 บาทต่อหน่วยภายใน 10 ปี ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงแง่รายได้ด้วย