KC ยุติเจรจาพันธมิตรสิงคโปร์พัฒนาคอนโดฯ สูง เดินหน้าทำโครงการ Low Rise

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 8, 2010 11:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาย งามอัจฉริยะกุล ผู้จัดการฝ่ายบริหาร บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้(KC)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทได้ยุติการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรสิงค์โปร์ที่สนใจเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการแนวสูง หลังจากมีเงื่อนไขบางประการที่ไม่สามารถตกลงกันได้

ประกอบกับ บริษัทมีความกังวลว่าหากการพัฒนาโครงการไม่ประสบความสำเร็จ หรือเงินทุนอาจไม่เพียงพอและต้องเพิ่มทุน ก็จะทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์จากราคาหุ้นที่ dilute ลงไป เพราะบริษัทมีนโยบายดำเนินธุรกิจแบบระมัดระวังมาโดยตลอด

นายชาย กล่าวยอมรับว่า การมีพันธมิตรทางธุรกิจจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งได้เร็ว และยังได้พัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น พันธมิตรจากสิงคโปร์ที่ต้องการเข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียมซึ่งบริษัทไม่มีความถนัดเมื่อเทียบกับโครงการแนวราบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเจรจายุติจะลงไป แต่บริษัทก็ยังสามารถดำเนินงานและพัฒนาโครงการได้ แม้ว่าจะทำให้การเติบโตของรายได้อาจไม่เพิ่มขึ้นมากก็ตาม

"เรายังเปิดกว้างในการรับพันธมิตร แต่การมีพันธมิตรก็ต้องคิดให้รอบคอบด้วยเหมือนกันว่าส่งผลดีหรือผลลบ หรือหากมีแล้วจะกระทบต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่ เพราะเราให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ขณะเดียวกันเราเองก็ไม่ได้รีบร้อน ค่อยๆโตก็ได้ แม้มันจะไม่มาก ผมว่าตอนนี้ปลอดภัยไว้ก่อนไม่เสียหาย"นายชาย กล่าว

บริษัทยังเดินหน้าแผนพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียม Low Rise 8 ชั้น โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของที่ดินย่านพระราม 9 ซึ่งเบื้องต้นอาจเป็นไปได้ 2 รูปแบบ คือ การขายขาดที่ดินผืนดังกล่าว หรือ อาจจะเป็นการร่วมทุน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของที่ดิน ขณะที่บริษัทก็กำลังศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) ที่จะต้องใช้ความรอบคอบด้วยเช่นกัน

นายชาย กล่าวอีกว่า ภายใต้การดำเนินธุรกิจแบบระมัดระวัง ทำให้ในปี 53 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเพียง 10% จากปี 52 ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าพอใจแล้ว เนื่องจากจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ไม่มาก โดยบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1.5 พันล้านบาท ขณะนี้มีงบซื้อที่ดินราว 200-250 ล้านบาท ซึ่งโครงการทั้ง 2 นี้จะไปรับรู้รายได้ในปี 54

การเปิดโครงการใหม่จะให้ความสำคัญในการพัฒนารูปแบบทาวน์เฮ้าส์ มากขึ้นจากเดิมที่พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว เพราะจากการประเมินพบว่าความต้องการทาวน์เฮ้าส์มีค่อนข้างมาก ขณะที่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวลดลง แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทำเลที่ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนโครงการบ้านเดี่ยว 60% ทาวเฮ้าวส์ 40%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ